คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1432/2522

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สามีภริยาไม่จดทะเบียนสมรสหย่าและตกลงกันให้แบ่งที่ดินยกให้เป็นของบุตร เมื่อภริยาไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงสามีฟ้องขอบังคับให้แบ่งตามข้อตกลงได้ โดยฟ้องในนามตนเองให้ภริยาปฏิบัติตามข้อตกลงซึ่งไม่เป็นการที่บุตรฟ้องบิดามารดา ไม่ต้องห้าม

ย่อยาว

โจทก์จำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยไม่จดทะเบียนสมรส โจทก์จำเลยตกลงหย่าและแบ่งที่ดินให้แก่บุตร 3 คน กับจำเลยคนละส่วนเท่า ๆ กัน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตามข้อตกลง จำเลยและผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีสำหรับผู้ร้องสอดเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาว่าที่ดินตามฟ้องมิใช่ของผู้ร้องสอด เพราะผู้ร้องสอดมิได้อุทธรณ์รับคำพิพากษานั้น ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยคดีของผู้ร้องสอด

ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยบรรยายไม่ชัดว่าโจทก์ฟ้องคดีในนามตนเองหรือในนามของบุตรนั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องได้ความชัดเจนอยู่แล้วว่าโจทก์กับจำเลยตกลงหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันและตกลงกันว่าที่นาอันเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างอยู่กินเป็นสามีภรรยากันนั้นให้แบ่งเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กัน และให้ได้แก่นายเชื้อ นางสำเรียงและนางแฉล้ม ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์จำเลยคนละส่วน แล้วจำเลยไม่แบ่งให้ จึงฟ้องขอให้พิพากษาบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญา อันเป็นการฟ้องในนามของโจทก์เองในฐานะคู่สัญญาเป็นการบรรยายฟ้องแสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นถูกต้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

ที่จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องที่ต้องห้ามตามกฎหมายเพราะเป็นฟ้องที่ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้แทนบุตร ฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามมิให้บุตรฟ้องบิดามารดาของตัวเองนั้น ศาลฎีกาได้กล่าวมาในตอนต้นแห่งคำวินิจฉัยนี้แล้วว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ในนามของโจทก์เองในฐานะที่เป็นคู่สัญญากับจำเลยฟ้องโจทก์จึงไม่ใช่ฟ้องต้องห้ามดังที่จำเลยฎีกา

พิพากษายืน

Share