แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้าราชการพลเรือนตำแหน่งครูประชาบาลรับเงินเดือนประจำทางงบประมาณประเภทเงินเดือนของกระทรวงศึกษาธิการ แม้นายอำเภอและศึกษาธิการอำเภอ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจะได้มีคำสั่งให้ไปทำงานในตำแหน่งเสมียนแผนกศึกษาธิการอำเภออีกตำแหน่งหนึ่งก็ตามก็ยังมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายฉะนั้น เมื่อปฏิบัติราชการโดยทุจริตยักยอกเงินที่ได้รับไว้ตามหน้าที่จึงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการพลเรือนตำแหน่งครูโรงเรียนประชาบาลและทำหน้าที่เสมียนแผนกศึกษาธิการอำเภออีกตำแหน่งหนึ่งตามคำสั่งของศึกษาธิการอำเภอและนายอำเภอ ได้บังอาจทุจริตต่อหน้าที่ราชการ เบียดบังยักยอกเงินของทางราชการเอาไปเป็นของจำเลยเสีย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151 ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี และให้จำเลยใช้เงิน 4,402 บาท 50 สตางค์ แก่แผนกศึกษาธิการจังหวัดปทุมธานีด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นข้าราชการครูประชาบาลรับเงินเดือนประจำทางงบประมาณประเภทเงินเดือนของกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยก็ย่อมมีฐานะเป็นข้าราชการพลเรือนประจำการตาม พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2491 มาตรา 4 และ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2497 มาตรา 23(6) จำเลยอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของศึกษาธิการ กับนายอำเภอตามลำดับ แม้ในปี พ.ศ. 2492 นายอำเภอและศึกษาธิการอำเภอจะได้มีคำสั่งให้จำเลยมาทำงานในตำแหน่งเสมียนแผนกศึกษาธิการอำเภออีกตำแหน่งหนึ่งก็ตาม ก็เป็นไปตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยชอบ ฉะนั้น เมื่อจำเลยมีหน้าที่รับเงินต่าง ๆ เก็บรักษาและนำส่งเงินลงบัญชีตลอดจนเก็บรักษาเอกสารทางการเงินต่าง ๆ ของแผนกศึกษาธิการอำเภอลาดหลุมแก้วตามคำสั่งแต่กลับปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยทุจริตยักยอกเงินที่ได้รับไว้ตามหน้าที่ การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานทุจริตผิดกฎหมาย
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย