แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้อง ฉ.จำเลยฐานแจ้งความเท็จว่า โจทก์ยักยอกทรัพย์ของ ฉ. ศาลตัดสินยกฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ฟ้องแก้เกี้ยวข้อหาของโจทก์ฟังไม่ได้ คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้หาว่า ฉ.จำเลยจงใจแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จ ดังนี้ เมื่อศาลได้ชี้ขาดใดคดีก่อนแล้วว่า ฉ.ไม่ได้แจ้งความเท็จในคดีนี้ ก็ต้องฟังว่า ฉ.ไม่ได้แจ้งความเท็จ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดในการที่จำเลยเบิกความ แต่ตามฟ้องไม่อาจทราบได้ว่าที่จำเลยเบิกความไปนั้นเป็นการเบิกความเท็จ หรือการเบิกความเช่นนั้นเป็นไปโดยเลินเล่อ เพราะถึงแม้จำเลยจะเบิกความไม่ถูกต้องกับความจริง ก็มีเหตุอันสมควรให้จำเลยเข้าใจผิดเช่นนั้นก็ได้ ซึ่งไม่เป็นละเมิดต่อโจทก์ฉะนั้นฟ้องโจทก์จึงยังไม่เป็นฟ้องที่จะให้จำเลยต้องรับผิดฐานละเมิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย โดยกล่าวว่า นางฉิ้งจำเลยนำเอาความเท็จไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า โจทก์ยักยอกเงินของจำเลย ๑ บาท เป็นเหตุให้โจทก์ถูกจับและต้องขัง ๒ วัน และนางฉิ้งกับนายสักจำเลยจงใจ เบิกความชั้นสอบสวนและชั้นศาลว่า โจทก์ทำผิด ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุด จำเลยปฏิเสธว่า ไม่ได้ทำผิดฐานละเมิด ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณารวมกับคดีดำที่ ๑๕๙/๒๔๙๐,๑๖๑/๒๔๙๐ ซึ่งนางฉิ้งกับพลตำรวจเจิมเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์ในคดีนี้กับนายเฉยเป็นจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องทั้ง ๓ สำนวน.
โจทก์ในคดีนี้อุทธรณ์,
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่.
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฟ้องของโจทก์แยกข้อหาเป็น ๒ ข้อว่า นางฉิ้งจำเลยจงใจแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ทำให้โจทก์เสื่อมเสียอิสสระภาพข้อ ๑. และว่าจำเลยทั้งสองจงใจเบิกความเท็จชั้นสอบสวนและชั้นศาลว่า โจทก์ทำผิดและยักยอกทรัพย์เป็นเหตุให้โจทก์ต้องเสียหายอีกข้อ ๑. ฉะเพาะข้อแรก โจทก์ฟ้องคดีอาญาแดงที่ ๑๓๔/๒๔๘๙ ขอให้ลงโทษนางฉิ้งจำเลยกับพลตำรวจเจิมฐานวิ่งราวทรัพย์ ฯลฯ ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่า โจทก์ฟ้องแก้เกี้ยว ข้อหาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นคดีนี้ก็ต้องถือข้อเท็จจริงตามนั้นว่า นางฉิ้งไม่ได้แจ้งความเท็จ ทำให้เสื่อมเสียอิสสระภาพ ฟ้องโจทก์ข้อ ๑. จึงตกไป ส่วนข้อหาว่าเบิกความเท็จตามฟ้องไม่อาจทราบได้ว่าจำเลยเบิกความไปนั้นเป็นการเบิกความเท็จหรือการเบิกความเช่นนั้นเป็นไปโดยเลินเล่อ เพราะถึงแม้จำเลยจะเบิกความไม่ถูกต้องตรงกันกับความจริง ก็อาจมีเหตุอันสมควรให้จำเลยเข้าใจผิดเช่นนั้นได้ ซึ่งไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ฉะนั้นฟ้องของโจทก์จึงยังไม่เป็นฟ้องที่จะให้จำเลยต้องรับผิดฐานละเมิด.
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น.