แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 226 ประกอบมาตรา 246 แม้โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนั้น และได้ยื่นคำโต้แย้งไว้เพื่อการใช้สิทธิฎีกาแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้พิจารณาชี้ขาดตัดสินอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป และหากโจทก์ยังติดใจปัญหาเรื่องค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มไม่ถูกต้อง โจทก์ก็มีสิทธิฎีกาได้ภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว การที่โจทก์เพียงแต่ยื่นคำโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวโดยไม่นำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ จึงเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น จึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ได้ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246
แม้โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าได้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่การตรวจรับอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์เป็นกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นทำการแทนศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้อุทธรณ์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาไม่ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นอำนาจศาลอุทธรณ์ที่จะให้ศาลชั้นต้นเรียกให้ผู้อุทธรณ์ชำระเสียให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังได้ เมื่อโจทก์ได้รับหมายนัดของศาลชั้นต้นให้นำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท แต่โจทก์กลับไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลดังกล่าว โจทก์จึงไม่อาจยกความสุจริตของโจทก์ขึ้นกล่าวอ้างได้ ทั้งกรณีเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดระเบียบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาตรวจรับอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์ของศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ห้ามมิให้จำเลยทั้งสามเข้ามารบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสามให้การ และจำเลยที่ 1 กับที่ 3 ฟ้องแย้ง ในวันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่า ตามคำฟ้อง คำให้การและฟ้องแย้งคู่ความพิพาทกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยที่ 1 จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ โดยกำหนดราคาทรัพย์สินที่พิพาทเป็นเงิน 52,250,000 บาท และให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มตามราคาทรัพย์สินที่พิพาทดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด โจทก์ไม่ชำระ ศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง และมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับฟ้องของโจทก์จากสารบบความ ศาลชั้นต้นพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้ว พิพากษาให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 1 พร้อมส่งมอบคืนให้แก่จำเลยที่ 1 ในสภาพเรียบร้อย ห้ามโจทก์หรือบริวารยุ่งเกี่ยวกับที่ดินพิพาท และให้โจทก์ชำระค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 40,000 บาท และ 70,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ตามลำดับ นับถัดจากวันฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างพร้อมขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยกำหนดค่าทนายความคนละ 20,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนของโจทก์ให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นเรียกให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วน หากโจทก์ไม่ชำระ ให้ส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมสำนวนคืนศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นหมายแจ้งคำสั่งศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มให้ครบถ้วนตามทุนทรัพย์ที่ดินพิพาท โจทก์ยื่นคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลอุทธรณ์และมิได้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่ม ศาลชั้นต้นจึงงดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ส่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พร้อมสำนวนคืนศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า กรณีถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท เป็นคำสั่งในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ประกอบมาตรา 246 แม้โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนั้น และได้ยื่นคำโต้แย้งไว้เพื่อการใช้สิทธิฎีกาแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็ยังมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้พิจารณาชี้ขาดตัดสินอุทธรณ์ของโจทก์ต่อไป และหากโจทก์ยังติดใจปัญหาเรื่องค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ว่าคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มไม่ถูกต้อง โจทก์ก็มีสิทธิฎีกาได้ภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว การที่โจทก์เพียงแต่ยื่นคำโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวโดยไม่นำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ จึงเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น จึงเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ได้ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 ที่โจทก์ฎีกาว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์ คำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้วส่งถ้อยคำสำนวนไปศาลอุทธรณ์รับไว้แล้ว โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าได้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ถูกต้องแล้วนั้น เห็นว่า แม้โจทก์เชื่อโดยสุจริตว่าได้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่การตรวจรับอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์เป็นกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นทำการแทนศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้อุทธรณ์ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาไม่ถูกต้องครบถ้วน ก็เป็นอำนาจศาลอุทธรณ์ที่จะให้ศาลชั้นต้นเรียกให้ผู้อุทธรณ์ชำระเสียให้ถูกต้องครบถ้วนก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังได้ เมื่อโจทก์ได้รับหมายนัดของศาลชั้นต้นให้นำค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาชำระเพิ่มตามราคาทรัพย์สินที่พิพาท แต่โจทก์กลับไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลดังกล่าว โจทก์จึงไม่อาจยกความสุจริตของโจทก์ขึ้นกล่าวอ้างได้ ทั้งกรณีเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องผิดระเบียบที่ศาลอุทธรณ์จะต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาตรวจรับอุทธรณ์และคำแก้อุทธรณ์ของศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ดังที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ