คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14209/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามข้อสัญญาท้ายประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีระบุไว้ว่า ผู้ซื้อทรัพย์มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะซื้อตามสถานที่ และแผนที่การไปที่ปรากฏในประกาศ และถือว่าผู้ซื้อได้ทราบถึงสภาพทรัพย์โดยละเอียดครบถ้วนแล้ว ซึ่งหากผู้ร้องทำการตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องผู้ร้องก็สามารถทักท้วงเพื่อให้แก้ไขเสียได้ ไม่มีเหตุผลที่ผู้ร้องจะเสี่ยงเข้าไปสู้ราคาในการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของผู้ร้องเองและถือเป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ร้องที่ไม่ทำการตรวจสอบให้ดีเสียก่อน และที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดราคาประเมินที่ดินตารางวาละ 1,500 บาท ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าสูงกว่าราคาประเมินที่แท้จริงคือ ตารางวาละ 500 บาท นั้น ก็ปรากฏว่าราคาประเมินที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นเป็นราคาประเมินที่ดินในปัจจุบัน แต่ราคาประเมินที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นราคาประเมินขณะทำการยึดตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2546 ตามสำเนารายงานการยึด ซึ่งราคาประเมินอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดี ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2554 เจ้าพนักงานบังคับคดีสำนักงานบังคับคดีจังหวัดนครปฐมขายทอดตลาดที่ดินโฉนดเลขที่ 14586 ตำบลบางแขม อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ของจำเลย ในราคา 650,000 บาท แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ทำแผนที่แสดงสถานที่ตั้งทรัพย์คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง โดยก่อนที่ผู้ร้องจะประมูลซื้อที่ดินของจำเลยดังกล่าว ผู้ร้องไปดูสภาพทรัพย์ตามแผนที่ที่โจทก์ทำขึ้น ปรากฏว่าเป็นที่ดินติดถนนทั้งสองด้าน แต่หลังจากผู้ร้องประมูลซื้อที่ดินได้แล้ว ผู้ร้องไปสำรวจที่ดิน ปรากฏว่าที่ดินที่ขายทอดตลาดดังกล่าวอยู่คนละแห่งกับที่โจทก์ทำแผนที่ไว้และเป็นที่ดินตาบอดไม่มีทางเข้า ทั้งมีราคาประเมินต่ำกว่าที่โจทก์แถลง จึงเป็นการฉ้อฉลและทำให้ผู้ร้องเสียหาย ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า มีเหตุให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีนี้หรือไม่ ที่ผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องมิได้ประมาทเลินเล่อ เนื่องจากผู้ร้องไปตรวจสอบที่ดินก่อนเข้าประมูลซื้อที่ดินดังกล่าวตามแผนที่ท้ายประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว แต่เนื่องจากแผนที่ดังกล่าวแสดงที่ตั้งของที่ดินผิด จึงมิใช่ความผิดของผู้ร้องนั้น เห็นว่า การขายที่ดินในคดีนี้เป็นการขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายที่ดินตามปกติทั่วๆ ไป และตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ระบุเลขที่ดิน ที่ตั้งของที่ดิน สภาพของที่ดินและด้านหลังของประกาศดังกล่าวได้ทำแผนที่สังเขปไว้ อีกทั้งเป็นการประกาศอย่างเปิดเผยต่อประชาชนทั่วๆ ไป ผู้ร้องหรือบุคคลอื่นๆ ที่ประสงค์จะเข้าประมูลซื้อที่ดินพิพาทย่อมมีโอกาสตรวจสอบความถูกต้องของที่ดินพิพาทก่อนที่จะเข้าประมูลสู้ราคาได้ ดังนี้ แม้แผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งของที่ดินจะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง แต่ผู้ร้องก็สามารถที่จะทำการตรวจสอบจากเลขที่โฉนดและรายละเอียดอื่นๆ ตามที่ปรากฏในประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวได้ นอกจากนี้เมื่อพิจารณาแผนที่สังเขปแล้วปรากฏสภาพของที่ดินชัดเจนว่าเป็นที่ดินที่ถูกล้อมรอบด้วยที่ดินของผู้อื่น มิได้ติดทางสาธารณะดังที่ผู้ร้องเข้าใจแต่อย่างใด เมื่อได้ความจากผู้ร้องว่า ผู้ร้องไปดูที่ดินตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีระบุไว้ในแผนที่สังเขป โดยสอบถามจากชาวบ้านบริเวณนั้นแล้วเข้าใจไปว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายและเป็นที่ดินที่ติดถนนสาธารณะทั้งสองด้าน แต่ผู้ร้องไม่ได้ทำการตรวจสอบหลักฐานทางราชการก่อนทำการประมูลซื้อ ทั้งที่ ผู้ร้องทราบดีอยู่แล้วว่าการขายทอดตลาดดังกล่าวเป็นการขายตามสำเนาโฉนดที่ดิน และตามข้อสัญญาท้ายประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ระบุไว้ด้วยว่า ผู้ซื้อทรัพย์มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะซื้อตามสถานที่ และแผนที่การไปที่ปรากฏในประกาศ และถือว่าผู้ซื้อได้ทราบถึงสภาพทรัพย์โดยละเอียดครบถ้วนแล้ว ซึ่งหากผู้ร้องทำการตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่ถูกต้องผู้ร้องก็สามารถทักท้วงเพื่อให้แก้ไขเสียได้ ไม่มีเหตุผลที่ผู้ร้องจะเสี่ยงเข้าไปสู้ราคาในการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงถือได้ว่าเป็นความบกพร่องของผู้ร้องเองและถือเป็นความประมาทเลินเล่อของผู้ร้องที่ไม่ทำการตรวจสอบให้ดีเสียก่อน และที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดราคาประเมินที่ดินตารางวาละ 1,500 บาท ซึ่งผู้ร้องอ้างว่าสูงกว่าราคาประเมินที่แท้จริงคือ ตารางวาละ 500 บาท นั้น ก็ปรากฏว่าราคาประเมินที่ผู้ร้องกล่าวอ้างนั้นเป็นราคาประเมินที่ดินในปัจจุบัน แต่ราคาประเมินที่ดินของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นราคาประเมินขณะทำการยึดตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2546 ตามสำเนารายงานการยึดเอกสารท้ายรายงานข้อเท็จจริงของเจ้าพนักงานบังคับคดี ลงวันที่ 19 สิงหาคม 2554 ในสำนวน ซึ่งราคาประเมินอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดี ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดได้ ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาอ้างว่า ผู้แทนโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการยึดที่ดินโดยขาดแผนที่การเดินทางไปทรัพย์ที่ยึด ภาพถ่ายปัจจุบันของทรัพย์ที่ยึด และราคาประเมินที่ดินที่เจ้าพนักงานรับรอง จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ.2522 บทที่ 3/1 ข้อ 45 นั้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดโดยอ้างเหตุว่าแผนที่แสดงที่ตั้งทรัพย์คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงและราคาประเมินที่ดินสูงกว่าราคาที่แท้จริง ฎีกาของผู้ร้องในข้อนี้จึงถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ทั้งมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share