แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะทายาทของเจ้ามรดกเพื่อให้จำเลยไถ่ถอนการจำนอง แม้สิทธิของโจทก์จะขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 วรรค 3 แล้วก็ตามแต่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 189 ยังยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับจากทรัพย์สินที่จำนองได้ ดังนี้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยในฐานะทายาทของเจ้ามรดกเป็นจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ให้โจทก์จากทรัพย์สินที่จำนองได้
หนี้จำนองที่เป็นหนี้ร่วม โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิง หรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 จำเลยจะอ้างว่าหนี้จำนองรายนี้ซึ่งเป็นหนี้ร่วม โจทก์จะต้องฟ้องบังคับจำนองร่วมกันไปคราวเดียวกันดังนี้ย่อมไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2502 นายทองดีนางทองเยื้อน บิดามารดาจำเลยได้จำนองที่ดินโฉนดที่ 8647 ให้โจทก์ไว้เพื่อประกันหนี้จำนวน 20,000 บาท ดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือนต่อมา 3 วัน นางทองเยื้อนได้ตาย นายทองดีกับจำเลยทั้ง 5 ได้รับมรดกที่ดินดังกล่าว โจทก์ขอให้นายทองดี และจำเลยไถ่ถอน นายทองดีได้ขายที่ดินเฉพาะส่วนของตนทั้งหมดให้แก่นางสาวสำลีบุตรโจทก์หลังจากจำนองได้ประมาณ 1 ปี โจทก์ได้รับปืนลูกซองราคา 2,000 บาท ของนายทองดีและนางทองเยื้อน โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและนางสาวสำลีไถ่จำนอง นางสาวสำลียินดีทำการไถ่แต่จำเลยไม่ยอมไถ่ถอนหนี้จำนองรายนี้เมื่อแบ่งเอาส่วนของนางสาวสำลีออกแล้ว จำเลยทั้ง 5 คง เป็นหนี้จำนอง 8,333.35 บาท กับดอกเบี้ย 5 ปี เป็นเงิน 6,250 บาท เมื่อหักเงินค่าปืนที่เป็นส่วนของจำเลย 833.34 บาทออกแล้ว จะเหลือดอกเบี้ยส่วนของจำเลย 5,416.66 บาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยไถ่ถอนจำเลยเพิกเฉย ขอให้จำเลยร่วมกันนำเงิน 8,333.35 บาท ดอกเบี้ย 5,416.66 บาท รวมเป็นเงิน 13,750 บาท ชำระให้แก่โจทก์ ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราชั่งละ 1 บาทต่อเดือน ในต้นเงิน 8,333.35 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะทำการไถ่ กับค่าธรรมเนียมค่าทนาย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า นายทองดีขายที่ดินเฉพาะส่วนให้นางสาวสำลีบุตรโจทก์นั้น นายทองดีได้เอาเงินจำนวนนี้ชำระหนี้จำนองแทนจำเลยไปหมดสิ้นแล้ว ต่อมานายทองดี นางแล่มไม่ถูกกัน จำเลยอยู่กับนางแล่ม นายทองดีก็พลอยเกลียดจำเลยไปด้วยหนี้รายนี้นายทองดีกับโจทก์ร่วมกันทำอุบายมาฟ้องเพื่อจะเอาเงินจากจำเลยไปให้นายทองดีนั่นเองโจทก์ทราบว่านางทองเยื้อนตายมาหลายปีแล้ว ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นความจริงไม่ขอต่อสู้แต่ประการใด จำเลยไม่มีเงินจะไถ่ถอน ขอให้ที่ดินส่วนของจำเลยที่ 4 และที่ 5 หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์
ในวันชี้สองสถาน จำเลยแถลงรับว่าเป็นบุตรของนายทองดี และนางทองเยื้อน นายทองดี นางทองเยื้อนเป็นลูกหนี้จำนองของโจทก์นางทองเยื้อนตายเมื่อ พ.ศ. 2502 จำเลยเป็นทายาทของนางทองเยื้อนได้รับมรดกของนางทองเยื้อนแล้ว รวมทั้งนาจำนองคดีนี้ด้วย จำเลยรับมรดกมา 3 ปีเศษแล้ว และได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วแต่ไม่มีหนังสือแสดงการชำระหนี้ และมิได้สลักหลังหนังสือหลักฐานการเป็นหนี้ โจทก์ปฏิเสธว่าจำเลยยังไม่ชำระหนี้ ศาลชั้นต้นสั่งให้งดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้จำนองและดอกเบี้ยค้างชำระรวม 13,750 บาทแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 8,333.35 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ศาลฎีกาเห็นว่าแม้สิทธิเรียกร้องของโจทก์จะขาดอายุความตามมาตรา 1754 วรรคสาม แล้วก็ตาม แต่มาตรา 189 ยังยอมให้โจทก์ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับจากทรัพย์สินที่จำนองได้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้ง 5 ในฐานะทายาทของนางทองเยื้อนเจ้ามรดกเป็นจำเลย เพื่อบังคับชำระหนี้ให้โจทก์จากทรัพย์สินที่จำนองได้ ที่จำเลยฎีกาว่าหนี้จำนองรายนี้เป็นหนี้ร่วม โจทก์จะต้องฟ้องบังคับจำนองร่วมกันไปคราวเดียวกัน การจำนองส่วนของนายทองดียังไม่ไถ่จำนอง นายทองดีจะขายที่ดินของตนให้แก่นางสาวสำลีบุตรโจทก์ได้อย่างไร โจทก์จะละเว้นไม่ฟ้องนายทองดีหาได้ไม่และโจทก์ควรฟ้องนายทองดีผู้เดียวศาลฎีกาเห็นว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วม เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือกดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 291 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จึงฟ้องเรียกชำระหนี้โดยส่วนจากจำเลยในฐานะเป็นทายาทของนางทองเยื้อนลูกหนี้ได้โดยไม่ต้องฟ้องนายทองดีเป็นจำเลยร่วมกับจำเลยและโจทก์ยังไม่ได้ฟ้องนายทองดีก็ได้และจะกล่าวหาว่าโจทก์มีเจตนาไม่สุจริต สมยอมกับนายทองดีไม่ได้
พิพากษายืน