คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7160/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินและกิจการสถานีบริการน้ำมันจากจำเลย ได้ชำระราคาบางส่วนและได้เข้าครอบครองทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายแล้ว ผู้ร้องจึงเป็นผู้จะซื้อมีสิทธิเพียงเรียกให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จะขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่ผู้ร้องโดยผู้ร้องต้องชำระราคาที่เหลือ การเข้าครอบครองก่อนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นการเข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลย ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลยซึ่งถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจดำเนินการเพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับซึ่งออกตามคำพิพากษาได้ หาใช่เป็นการบังคับคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยทั้งสี่และบริวารออกไปจากที่ดินและอาคารบนที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 2237 ตำบลลาดบัวหลวง อำเภอลาดบัวหลวงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ห้ามจำเลยทั้งสี่และบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินและสถานีบริการน้ำมันบนที่ดิน กับให้จำเลยทั้งสี่ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามวันที่ 26 พฤศจิกายน2542 เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศที่สถานีบริการน้ำมันซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินพิพาทกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายใน 8 วัน นับแต่วันที่ปิดประกาศ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นบริวารของจำเลยทั้งสี่และเจ้าพนักงานบังคับคดีจะดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป

วันที่ 20 ธันวาคม 2542 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องมิใช่บริวารของจำเลยทั้งสี่ผู้ร้องได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ 1 และที่ 2เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2540 ผู้ร้องชำระเงินให้ผู้จะขายแล้ว ผู้จะขายส่งมอบที่ดินและกิจการสถานีบริการน้ำมันพิพาทให้ผู้ร้องเข้าครอบครองดำเนินกิจการตั้งแต่วันที่ 15กันยายน 2540 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้งดการบังคับคดี

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 20 ธันวาคม 2542 ว่า ผู้ทำสัญญาจะขายก็คือ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนผู้จะซื้อก็คือบริษัทผู้ร้องโดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจทำการแทน และจำเลยที่ 2 เป็นผู้อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าทำกิจการในที่ดินพิพาท จึงถือได้ว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยทั้งสี่ ให้ยกคำร้อง

วันที่ 21 มกราคม 2543 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องยังมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นและกำลังให้ทนายความดำเนินการยื่นอุทธรณ์ ผู้ร้องได้แสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่รับฟังและได้บังคับคดีโดยยึดทรัพย์และส่งมอบที่ดินและสถานีบริการน้ำมันพิพาทให้โจทก์เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายทำให้ผู้ร้องเสียหาย ขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการบังคับคดีทั้งปวงและส่งมอบที่ดินและสถานีบริการน้ำมันพิพาทให้ผู้ร้องเข้าครอบครองไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ขอให้ปล่อยทรัพย์และงดการบังคับคดีไว้ก่อน

ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ลงวันที่ 24 มกราคม 2543 ว่า ตามคำร้องไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด ไม่มีเหตุที่จะยกเลิกการบังคับคดีหรือปล่อยทรัพย์หรืองดการบังคับคดี ให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นทั้งสองฉบับ

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้ร้องฎีกาข้อแรกว่า ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้ร้องจึงไม่ใช่บริวารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีแก่ผู้ร้องได้ แม้จะยื่นคำร้องหลังจากพ้นกำหนด 8 วันนับแต่วันเจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศก็ตาม พิเคราะห์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา (3) นั้น เมื่อเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแจ้งต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบริวารยังไม่ออกไปจากอสังหา-ริมทรัพย์ตามที่ระบุในคำบังคับ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศกำหนดเวลาให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันปิดประกาศ ถ้าไม่ยื่นภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องเป็นผู้ที่อ้างอำนาจพิเศษโดยยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว จึงต้องมีหลักฐานเบื้องต้นมาแสดงต่อศาลมิใช่กล่าวอ้างมาลอย ๆ ปรากฏตามคำร้องและเอกสารแนบท้ายคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างในที่ดินและกิจการสถานีบริการน้ำมันจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยผู้ร้องได้ชำระราคาบางส่วนและได้เข้าครอบครองทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายแล้วตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2540 เห็นว่า ผู้ร้องเป็นผู้จะซื้อมีสิทธิเพียงเรียกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จะขายโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อขายให้แก่ผู้ร้องโดยผู้ร้องต้องชำระราคาที่เหลือ การเข้าครอบครองก่อนการโอนกรรมสิทธิ์เป็นการเข้าครอบครองโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 และที่ 2 กรณีถือไม่ได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 จัตวา(3) ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาของผู้ร้องข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ผู้ร้องฎีกาข้อหลังว่า ผู้ร้องเข้าครอบครองที่ดินและสถานีบริการน้ำมันพิพาทตลอดมาจนถึงวันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไปบังคับคดี การบังคับคดีทำให้ผู้ร้องเสียสิทธิในการครอบครองและประกอบกิจการค้าจึงเป็นการบังคับคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเห็นว่า เมื่อฟังได้ว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งถูกศาลพิพากษาให้ขับไล่เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจดำเนินการเพื่อให้ปฏิบัติตามคำบังคับซึ่งออกตามคำพิพากษาได้ หาใช่เป็นการบังคับคดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share