แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเช่าช่วงตึกแถวจากผู้เช่าไว้โดยผู้ให้เช่าไม่รู้เห็นหรือยินยอม แล้วผู้ให้เช่าไปทำสัญญาให้เช่าตึกนั้นกับโจทก์ โจทก์ย่อมมีสิทธิดีกว่าจำเลย โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองตึก และเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 1010 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนวาณิช 2 ตำบลตลาดน้อย อำเภอสัมพันธวงศ์ จังหวัดพระนคร โดยเช่ามาจากกรมการศาสนา โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยอยู่ในตึกนี้นานมาแล้ว แต่บัดนี้จำเลยไม่ตั้งอยู่ในความสงบ กระทำความรำคาญให้แก่โจทก์เป็นเนืองนิจ โจทก์ได้บอกกล่าวเลิกการอาศัย และได้แจ้งให้จำเลยออกไปจากบ้านนี้หลายครั้งแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมออก จึงฟ้องขอให้ขับไล่
จำเลยต่อสู้ว่า มิได้อาศัยโจทก์จำเลยเซ้งห้องพิพาทมาจากนายเชียง แซ่แต้ ผู้เช่าเดิมเมื่อ พ.ศ. 2497 จำเลยได้ครอบครองมาจนบัดนี้ แต่ยังมิได้ไปโอนการเช่าต่อกรมการศาสนาเพราะติดสงคราม เมื่อพ.ศ. 2488 โจทก์มาขออาศัยจำเลยอยู่ในห้องพิพาทด้วย ในระหว่างนั้นเวลาจำเลยไปธุระค้าขายที่อินโดจีนได้ให้โจทก์ดูแลแทน โจทก์ฉวยโอกาสนั้นไปทำสัญญาเช่าจากกรมการศาสนาโดยจำเลยไม่ทราบ เพิ่งทราบเมื่อทนายโจทก์แจ้งไป เวลานี้จำเลยยังครอบครองห้องพิพาทส่วนโจทก์ไปอยู่ที่อื่น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของห้องโดยชอบให้ขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยเช่าช่วงจากนายเชียง โดยมิได้รับความยินยอมจากกรมการศาสนาผู้ให้เช่า จึงไม่มีอะไรมาผูกพันกรมการศาสนา ให้โจทก์เช่าและทำสัญญากันแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิตามสัญญาเช่าจำเลยไม่มีสิทธิดีกว่า พิพากษายืน