แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะไม่ได้ยึดเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 3 ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางมากับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อขอดูเงินที่จะซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้ล่อซื้อ และขณะที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กำลังตรวจนับเงินกันนั้นจำเลยที่ 3 ก็ยืนดูอยู่ใกล้ ๆ แล้วจำเลยที่ 3 ก็ขับรถจักรยานยนต์ออกไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ครั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2เดินทางกลับมายังที่นัดหมายเพื่อส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่ผู้ล่อซื้อ จำเลยที่ 3 ก็ร่วมเดินทางมาด้วย แม้ขณะจำเลยที่ 2ส่งมอบเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 3 จะนั่งดูอยู่บนกำแพงห่างออกไปเพียง 3 ถึง 4 เมตรก็ตาม ก็มีลักษณะเป็นการเฝ้าดูเหตุการณ์และระวังภัยที่จะเกิดขึ้นขณะนั้นนั่นเอง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำในระหว่างจำเลยทั้งสาม การกระทำของจำเลยที่ 3 ถือได้ว่าเป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธแต่ต่อมาขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง (ที่ถูกมาตรา 102 ด้วย) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 (ที่ถูกเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งมีโทษเท่ากันลงโทษบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90) จำคุกคนละ 18 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยทั้งสามคนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 9 ปี ริบของกลาง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจโทประสาท อารยะธรรมโสภณเจ้าพนักงานตำรวจผู้ปลอมตัวเข้าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนและนายดาบตำรวจสุคนธ์ มงคล เจ้าพนักงานตำรวจผู้แอบซุ่มดูการล่อซื้อเป็นพยานโจทก์เบิกความสอดคล้องต้องกันว่า สิบตำรวจโทประสาทกับสายลับไปที่ร้านฮงกี่ตามที่สืบทราบมาว่าเป็นแหล่งลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและพบจำเลยที่ 1 สิบตำรวจโทประสาทขอซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ตกลงขายให้จำนวน 3 ถุง ถุงละ200 เม็ด ในราคา 36,000 บาท โดยนัดส่งมอบเมทแอมเฟตามีนกันที่สวนสาธารณะโสกน้ำใสเวลา 23.30 นาฬิกา สิบตำรวจโทประสาทกับสายลับรอจำเลยที่ 1 อยู่ที่จุดนัดหมายโดยมีนายดาบตำรวจสุคนธ์กับพวกแอบซุ่มดูอยู่ จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มาพบสิบตำรวจโทประสาท โดยมีจำเลยที่ 2 นั่งซ้อนท้ายและจำเลยที่ 3 ขับรถจักรยานยนต์อีกคันหนึ่งมาด้วย จำเลยที่ 1 ขอตรวจนับเงิน สิบตำรวจโทประสาทกับจำเลยที่ 1 ช่วยกันนับเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยืนดูเมื่อนับเงินเสร็จจำเลยที่ 1 บอกให้สิบตำรวจโทประสาทรอสักครู่แล้วจำเลยทั้งสามก็ขับรถจักรยานยนต์ออกไปจนเวลาประมาณ 24 นาฬิกาจำเลยทั้งสามกลับมาโดยขับรถจักรยานยนต์สองคันเช่นเดิม จำเลยที่ 1ขอตรวจดูเงินอีกครั้งหนึ่ง สิบตำรวจโทประสาทจึงขอดูเมทแอมเฟตามีนก่อนจำเลยที่ 2 ยื่นถุงพลาสติกให้ สิบตำรวจโทประสาทเปิดถุงออกดูเห็นมีเมทแอมเฟตามีน จึงทำทีล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงและฉวยโอกาสกดปุ่มวิทยุที่เอวหลายครั้งส่งสัญญาณแสดงว่าล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว นายดาบตำรวจสุคนธ์กับพวกที่แอบซุ่มดูอยู่พร้อมด้วยพันตำรวจตรีสุนันท์ หรรษา ซึ่งรออยู่อีกจุดหนึ่งเข้าจับกุมจำเลยทั้งสามไว้ได้ และร้อยตำรวจเอกถนอมสิทธิ์ วงษ์วิจารณ์ พนักงานสอบสวนเบิกความว่าในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 3 ให้การว่า ได้ร่วมไปที่เกิดเหตุกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 3 ได้พร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในที่เกิดเหตุ และยึดเมทแอมเฟตามีนเป็นของกลางตามบัญชีของกลางคดีอาญาเอกสารหมาย จ.5 และบันทึกคำให้การผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.8 เห็นว่าพยานโจทก์ทุกปากเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ปรากฏว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 3 มาก่อน จึงไม่มีเหตุระแวงว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 เองก็เบิกความรับว่า ได้ร่วมเดินทางไปกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 และถูกจับกุมพร้อมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทั้งเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด เป็นของกลางได้ในที่เกิดเหตุ แม้ขณะถูกจับกุมเจ้าพนักงานตำรวจจะไม่ได้ยึดเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 3ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางมากับจำเลยที่ 1 และที่ 2เพื่อขอดูเงินที่จะซื้อเมทแอมเฟตามีน และขณะที่จำเลยที่ 1 และที่ 2กำลังตรวจนับเงินกันนั้นจำเลยที่ 3 ก็ยืนดูอยู่ใกล้ ๆ เมื่อตรวจนับเงินเสร็จจำเลยที่ 3 ก็ขับรถจักรยานยนต์ออกไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2ครั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 เดินทางกลับมายังที่นัดหมายเพื่อส่งมอบเมทแอมเฟตามีนให้แก่สิบตำรวจโทประสาท จำเลยที่ 3 ก็ร่วมเดินทางมาด้วยและแม้สิบตำรวจโทประสาทจะเบิกความตอบคำถามค้านว่าขณะจำเลยที่ 2 ส่งมอบเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 3 จะนั่งดูอยู่บนกำแพงก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 ซึ่งไปนั่งอยู่บนกำแพงห่างออกไปเพียง 3 ถึง 4 เมตรนั้นก็มีลักษณะเป็นการเฝ้าดูเหตุการณ์และระวังภัยที่จะเกิดขึ้นขณะจำเลยที่ 1 และที่ 2 พวกของตนส่งมอบเมทแอมเฟตามีนและรับเงินนั่นเอง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 3 มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำในระหว่างจำเลยทั้งสาม การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังวินิจฉัยมาถือได้ว่าเป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2ในการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกันในการครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย ส่วนที่จำเลยที่ 3ฎีกาว่า พยานโจทก์ผู้ร่วมจับกุมเบิกความแตกต่างกันทำให้มีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้พยานโจทก์ ผู้ร่วมจับกุมจะเบิกความแตกต่างกันไปบ้างดังที่จำเลยที่ 3 ฎีกาก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ส่วนสาระสำคัญของคดีหากเป็นเพียงข้อปลีกย่อยเท่านั้นไม่ถึงกับทำให้รูปคดีของโจทก์มีพิรุธเป็นที่น่าสงสัยแต่ประการใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 3 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน