คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1402/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยตามคำฟ้องและคำให้การว่า การที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของร้าน จ. กับร้าน ร. รวมกันโดยร้าน จ. โจทก์ขอหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ 90 ส่วนร้าน ร. โจทก์ขอหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริง เป็นการขัดต่อมาตรา 8 แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2502 หรือไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้โจทก์ชนะคดี ดังนี้ จำเลยจะฎีกาว่าโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินและพิสูจน์ได้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับร้าน ร. มากกว่าค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาคืออัตราร้อยละ 90 โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอหักค่าใช้จ่ายอัตราร้อยละ 96 ตามที่ขอหักไว้ และไม่มีสิทธิจะยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมกันโดยขอหักค่าใช้จ่ายเป็น 2 ทาง แต่ต้องหักค่าใช้จ่ายทางเดียวโดยการเหมาในอัตราร้อยละ 90 ตามมาตรา 8 (32) แห่งพระราชกฤษฎีกาข้างต้นไม่ได้ เป็นฎีกานอกเหนือจากคำท้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ๒๕๑๕ ถึงปี ๒๕๑๗ ที่ได้จากการขายสินค้าร้าน ร. และร้าน จ. โดยคำนวณภาษีเงินได้รวม ๔๖,๖๙๕.๑๒ บาทและชำระค่าภาษีให้แก่จำเลยที่ ๑ ไปแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ ๑ ได้ทำการประเมินให้โจทก์ชำระค่าภาษีกับเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน ๒๓๐,๖๐๗.๑๙ บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ว่า เป็นการประเมินไม่ชอบที่ไม่ยอมให้โจทก์หักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยกอุทธรณ์ ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การที่โจทก์นำเงินได้ของร้านทั้งสองยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้รวมกัน แต่คำนวณหักค่าใช้จ่ายต่างกันเป็น ๒ วิธีโดยร้าน จ.หักเป็นการเหมา ร้าน ร. หักตามความเป็นจริงไม่ถูกต้องตามมาตรา ๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๐๒ เพราะกรณีเช่นนี้ผู้เสียภาษีจะขอหักค่าใช้จ่ายได้ในทางเดียวกันทางใดทางหนึ่งเท่านั้น การประเมินและการวินิจฉัยอุทธรณ์จึงชอบแล้ว
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์จำเลยตกลงท้ากันให้ศาลวินิจฉัยตามคำฟ้องและคำให้การว่า การที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั้งสองร้านรวมกัน โดยร้านจิบฮงโจทก์ขอหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตราร้อยละ ๙๐ ส่วนร้านรุจิพัฒนกุลหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงเป็นการขัดต่อมาตรา ๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๐๒ หรือไม่ ถ้าศาลวินิจฉัยว่า ตามที่โจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อจำเลยที่ ๑ นั้นถูกต้องก็ให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยแต่ถ้าวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ตามที่ยื่น โจทก์ย่อมเสียภาษีและเงินเพิ่มให้แก่จำเลยที่ ๑ และให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวยอมให้ผู้มีเงินได้เลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาหรือหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงก็ได้ และไม่ได้ห้ามไม่ให้ผู้มีเงินได้จากสถานประกอบการค้าหลายกิจการหรือหลายร้านที่จะเลือกหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาร้านหนึ่ง และอีกร้านหนึ่งหักตามที่จ่ายจริง โจทก์จึงมีสิทธิหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงได้ จำเลยทั้งสี่จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้ประจำปี ๒๕๑๕ ถึง ๒๕๑๗ ของจำเลยที่ ๑ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่าโจทก์ไม่สามารถแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานประเมินและพิสูจน์ได้ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับร้านรุจิพัฒนกุลมากกว่าค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาคือร้อยละ ๙๐ โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอหักค่าใช้จ่ายร้อยละ ๙๖ ตามที่ขอหักไว้ได้ ดังนั้นโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดารวมกันโดยขอหักค่าใช้จ่ายเป็น ๒ ทาง แต่ต้องหักค่าใช้จ่ายไปทางเดียวกันคือโดยการเหมาในอัตราร้อยละ ๙๐ ตามมาตรา ๘(๓๒) แห่งพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดค่าใช้จ่ายที่ยอมให้หักจากเงินได้พึงประเมิน (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๐๒ นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อฎีกาดังกล่าวของจำเลยทั้งสี่เป็นข้ออ้างที่นอกเหนือจากคำท้าของคู่ความ เพราะคู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงข้อเดียวว่าการที่โจทก์ขอหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสำหรับร้านจิบฮง และขอหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงสำหรับร้านรุจิพัฒนกุล เป็นการขัดต่อมาตรา ๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวหรือไม่ ดังนั้นตามคำท้าของคู่ความจึงไม่มีปัญหาที่ว่าโจทก์สามารถพิสูจน์ต่อเจ้าพนักงานประเมินได้หรือไม่ว่าค่าใช้จ่ายสำหรับร้านรุจิพัฒนกุลนั้น มากกว่าร้อยละ ๙๐ ส่วนที่จำเลยทั้งสี่อ้างในฎีกาว่าตามคำท้าของคู่ความ จำเลยทั้งสี่มิได้สละข้อต่อสู้ดังกล่าวแต่ประการใดนั้นเห็นว่า ที่คู่ความท้ากันให้ศาลวินิจฉัยคำท้าดังกล่าวเป็นข้อแพ้ชนะโดยไม่ติดใจสืบพยานนั้น เป็นการแสดงเจตนาว่าจำเลยทั้งสี่ได้สละข้อต่อสู้ดังกล่าวแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสี่ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share