แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดต้องเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ดังกล่าว การที่ผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยผู้ร้องกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกัน ผู้ร้องหามีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไม่ และที่ผู้ร้องอ้างว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลย เป็นนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ หากเป็นดังข้ออ้าง ผู้ร้องก็จะต้องฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลนั้นเสียก่อน จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนในคดีซึ่งตนมิได้เป็นคู่ความหาได้ไม่
คดีร้องขัดทรัพย์ จำเลยจะเข้ามาในคดีหรือไม่ก็ได้เมื่อเข้ามาแล้ว จำเลยก็มีฐานะเป็นคู่ความ มีสิทธิได้ค่าฤชาธรรมเนียม.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพร้อมบ้านที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย การยึดทรัพย์เกิดจากคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งโจทก์สมคบกับจำเลยทำกลฉ้อฉลโดยทำสัญญากู้ยืมเงินปลอมแล้วนำสัญญาดังกล่าวไปฟ้องคำพิพากษาตามยอมจึงไม่มีผลตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์ดังกล่าวขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า การบังคับคดีมิได้เกิดจากการสมยอมหรือกลฉ้อฉลทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว ผู้ร้องมิได้กล่าวอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของจำเลยขอให้ยกคำร้อง
จำเลยแถลงว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว จำเลยกู้เงินโจทก์จริง ขอให้บังคับคดีต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง ให้ผู้ร้องใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท แทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างผู้รองกับจำเลยให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้ผู้ร้องใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์2,500 บาทแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความอันเกิดจากโจทก์จำเลยสมคบกันฉ้อฉลเกี่ยวถึงผู้ร้องเพราะโจทก์นำยึดทรัพย์อันเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยมาใช้หนี้อันเกิดจากการฉ้อฉลซึ่งไม่มีผลตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึด นั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่าถึงหากว่าสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยจะเป็นนิติกรรมอันเกิดจากการฉ้อฉลทำให้ผู้ร้องเสียเปรียบ ซึ่งศาลอาจเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 ผู้ร้องก็จะต้องฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนการฉ้อฉลนั้นเสียก่อน จะยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนในคดีซึ่งตนมิได้เป็นคู่ความหาได้ไม่เมื่อยังไม่มีการเพิกถอนคำพิพากษาในคดีนี้ ก็ไม่มีเหตุจะปล่อยทรัพย์ที่ยึดได้
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องในข้อที่ว่า ไม่มีบทกฎหมายหรือคำพิพากษาฎีกาสนับสนุนว่า ผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ไม่ได้ชอบที่จะร้องขอให้กันส่วนของผู้ร้องออก นั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าการขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ แต่ผู้ร้องอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย ผู้ร้องกับจำเลยจึงเป็นเจ้าของทรัพย์ร่วมกัน ผู้ร้องหามีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไม่ ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนของตนได้นั้นก็มีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้ว
ที่ผู้ร้องฎีกาว่า จำเลยไม่ใช่คู่ความในคดีร้องขัดทรัพย์ไม่มีสิทธิได้ค่าฤชาธรรมเนียมจากผู้ร้องนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในคดีร้องขัดทรัพย์ นั้นจำเลยจะเข้ามาในคดีหรือไม่ก็ได้ เมื่อเข้ามาแล้ว และมีข้อโต้แย้งคัดค้านคำร้องขัดทรัพย์อย่างไรก็ตั้งประเด็นขึ้นไว้ในระหว่างการพิจารณาและใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในประเด็นนั้นๆ ได้ ดังนั้น จำเลยจึงมีฐานะเป็นคู่ความได้เมื่อต้องการ คดีนี้จำเลยได้เข้าโต้แย้งคัดค้านคำร้องขัดทรัพย์ ทำคำแก้อุทธรณ์และทำคำแก้ฎีกาตลอดมา จำเลยจึงมีฐานะเป็นคู่ความมีสิทธิได้ค่าฤชาธรรมเนียม
พิพากษายืน.