คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 104 ศาลชั้นต้นมีอำนาจวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความจะนำสืบนั้นมีความจำเป็นต้องนำสืบหรือไม่ หากไม่จำเป็นศาลชั้นต้นก็มีอำนาจงดสืบพยานหลักฐานนั้นได้
ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากโจทก์แล้วได้ความว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีอาณาเขตทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ติดทางสาธารณะคือทางหลวงเทศบาลถนนนารถวิถี โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความข้างต้นจึงเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีได้แล้วว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินออกสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่โจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350 โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทในที่ดินจำเลยซึ่งเป็นที่ดินแปลงอื่นเป็นทางผ่านไปสู่ทางสาธารณะหาได้ไม่ คดีจึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ เพราะแม้จะให้โจทก์นำพยานเข้าสืบก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนรั้วเหล็กและกลบหลุมในทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 22148 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ และเปิดทางให้ใช้ได้ตามสภาพเดิม หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามขอให้โจทก์มีอำนาจดำเนินการโดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
จำเลยให้การว่า จำเลยขายที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ให้แก่โจทก์ ที่ดินแปลงดังกล่าวด้านหน้าติดถนนนารถวิถี ต่อมาโจทก์ได้แบ่งที่ดินแปลงดังกล่าวในนามเดิมออกเป็นอีก 2 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 ตามฟ้องที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากโจทก์จำเลยแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาคดีไปนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104 ศาลชั้นต้นมีอำนาจวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่คู่ความจะนำสืบนั้นมีความจำเป็นต้องนำสืบหรือไม่ หากไม่จำเป็นศาลชั้นต้นก็มีอำนาจงดสืบพยานหลักฐานนั้นได้ คดีนี้ศาลชั้นต้นสอบข้อเท็จจริงจากโจทก์แล้วได้ความว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีอาณาเขตทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ติดทางสาธารณะ คือทางหลวงเทศบาลถนนนารถวิถี โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่ได้ความข้างต้นจึงเพียงพอแก่การวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีได้แล้วว่าโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 29140 และ 29141 จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางเดินออกสู่ทางสาธารณะได้เฉพาะในที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 ซึ่งเป็นที่ดินแปลงที่โจทก์แบ่งแยกมาเท่านั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทในที่ดินจำเลยซึ่งเป็นที่ดินแปลงอื่นเป็นทางผ่านไปสู่ทางสาธารณะหาได้ไม่ คดีจึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์เพราะแม้จะให้โจทก์นำพยานเข้าสืบก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ส่วนที่โจทก์อ้างว่าขณะโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 22417 จากจำเลยนั้นมีบ้านปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว 3 หลัง จำเลยจึงตกลงให้โจทก์ไปแบ่งแยกที่ดินแปลงดังกล่าวเพิ่มอีก 2 แปลง เพื่อให้ตรงกับสภาพบ้านที่ปลูกอยู่ โดยจำเลยยินยอมให้ใช้ทางพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออก สำหรับบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินแปลงใหม่ที่แบ่งแยกออกมานั้น ปรากฏว่าโจทก์มิได้ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างหรือตั้งประเด็นมาในคำฟ้อง จึงไม่อาจนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษายกฟ้องและศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืนนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share