คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1399/2523

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เป็นหุ้นส่วนต้องมีเงิน ทรัพย์สินอื่น หรือแรงงานมาลงหุ้นถ้าไม่ได้ลงหุ้น ก็ไม่เป็นหุ้นส่วน
ฎีกาว่าโจทก์จำเลยไม่เป็นหุ้นส่วนเป็นคำขอคำนวณเป็นราคาเงินไม่ได้

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระบัญชี และชำระเงิน 101,909.17 บาทแก่โจทก์กับดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ มิให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการชำระบัญชี และไม่ต้องใช้เงินแก่โจทก์ โจทก์จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ฎีกาว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสองมิได้เป็นหุ้นส่วนกันเสียก่อน ตัวโจทก์เบิกความว่าตกลงกันว่าในการก่อสร้าง โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นคนหาเงินมาจ่ายเป็นค่าแรงงานและค่าวัสดุ จำเลยที่ 1 เอาเงินสดบ้าง เช็คบ้างมาเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ในธนาคาร เพื่อให้โจทก์ใช้จ่ายในการก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้น 185,000 บาท แต่ปรากฏตามคำให้การในชั้นสอบสวนของโจทก์เมื่อโจทก์ไปร้องทุกข์กล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองยักยอกทรัพย์ของหุ้นส่วนและทุจริตต่อหน้าที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเงินมาลงหุ้นด้วยเลย จำนวนเงิน185,000 บาทที่จำเลยที่ 1 นำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ในธนาคารเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 รับจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสมัยก่อสร้างมาจ่ายให้โจทก์เป็นค่าก่อสร้าง ส่วนจำเลยที่ 2 โจทก์ไม่ได้นำสืบให้ปรากฏว่าได้นำเงินมาลงหุ้นด้วยคงปรากฏตามคำให้การของโจทก์ในชั้นสอบสวนตามสำนวนสอบสวนทั้งสองสำนวนดังกล่าวว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีเงินลงทุน ได้นำเช็คของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งกรมอาชีวะศึกษาสั่งจ่ายค่าซ่อมรถเป็นเงิน 22,831 บาท 30 สตางค์ มอบให้โจทก์เป็นการลงหุ้น แต่โจทก์เบิกเอาเงินจำนวนนี้มาใช้ไม่ได้ จึงได้มอบเช็คดังกล่าวคืนให้ไป หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ก็ได้จ่ายเงินช่วยค่าก่อสร้างและค่าแรงให้โจทก์บ้าง แต่จำเลยที่ 2 ก็ได้ไปเบิกเงินคืนจากจำเลยที่ 1 แล้วพร้อมด้วยดอกเบี้ย ส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ทดรองจ่ายเงินไปก่อนนั้น เมื่อโจทก์ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในการก่อสร้าง โจทก์ก็ทำสัญญากู้ในนามของโจทก์แต่ผู้เดียว แทนที่จะทำร่วมกันทั้งสามคน การที่จำเลยที่ 1 เปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารจำเลยที่ 1ก็ใช้บัญชีนี้เฉพาะนำเช็คที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดสมัยก่อสร้างสั่งจ่ายให้จำเลยที่ 1เข้าบัญชีเพื่อจ่ายต่อให้โจทก์ในกิจการก่อสร้าง ซึ่งโจทก์เองก็เบิกความรับว่าการรับเงินค่าก่อสร้าง โจทก์ไม่ได้รับจากห้างหุ้นส่วนจำกัดสมัยก่อสร้าง แต่รับจากจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์จำเลยตกลงกันให้โจทก์จ่ายเงินทดรองในการก่อสร้างไปก่อน

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเป็นหุ้นส่วนกันนั้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1026 บัญญัติว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นด้วยในห้างหุ้นส่วน สิ่งที่นำมาลงหุ้นด้วยนั้นจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินสิ่งอื่นหรือลงแรงงานก็ได้ มาตรา 1044 บัญญัติให้ส่วนกำไรหรือส่วนขาดทุนของผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนเป็นไปตามส่วนที่ลงหุ้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นกับโจทก์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินสิ่งอื่นหรือแรงงาน จำเลยทั้งสองก็ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ แม้ว่าจำเลยทั้งสองจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจการบางสิ่งบางอย่างของโจทก์ ก็ไม่ทำให้จำเลยทั้งสองกลับกลายเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ไปได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยมาชำระบัญชีกับโจทก์หรือให้จำเลยทั้งสองรับผิดในฐานะเป็นหุ้นส่วนกับโจทก์ เมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาโจทก์จำเลยในประเด็นอื่นต่อไป คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย เว้นแต่ค่าทนายความทั้งสามศาลให้เป็นพับ อนึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์กับจำเลยทั้งสองมิได้เป็นหุ้นส่วนกัน เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลในขณะนั้นเพียง 50 บาท ศาลชั้นต้นเรียกค่าขึ้นศาลอย่างคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ไม่ถูกต้อง ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ศาลชั้นต้นเรียกเกินมาให้จำเลยไป”

Share