แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยอยู่กินกันฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสได้ 2 ปี จึงซื้อที่ดิน 1 แปลง ลงชื่อจำเลยในโฉนดแต่ผู้เดียวเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยส่วนตัวแต่เป็นทรัพย์ที่โจทก์จำเลยทำมาหาได้ในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันก็ต้องถือว่าเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2486 โจทก์จำเลยได้เสียกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสได้ร่วมอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยา และช่วยกันทำมาหาเลี้ยงชีพตลอดมาจน พ.ศ. 2502 จึงเลิกกันในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันนั้น โจทก์จำเลยได้ร่วมกันทำมาหาได้ซึ่งที่ดินโฉนดที่ 51 ราคา 20,000 บาท โดยซื้อเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2488 ใส่ชื่อจำเลยในโฉนดแต่ผู้เดียว ขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ครึ่งหนึ่งหรือให้จำเลยจ่ายเงินค่าที่ดินให้โจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท
จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ๆ ใช้ทรัพย์ส่วนตัวที่มีอยู่ก่อนได้กับโจทก์ซื้อและตัดฟ้องว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อที่พิพาทด้วยทุนทรัพย์ของจำเลยเอง โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์จำเลยได้ที่พิพาทในระหว่างทำมาหากินร่วมกัน โจทก์จึงมีสิทธิขอส่วนแบ่งได้ พิพากษากลับ ให้เติมชื่อโจทก์ลงในโฉนด
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์จำเลยอยู่กินกันฉันสามีภริยาตั้งแต่พ.ศ. 2486 ถึง 2502 จึงเลิกกัน เพราะโจทก์มีภริยาใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2488 จำเลยได้ลงชื่อในโฉนดเป็นผู้ซื้อที่ดิน 1 แปลงการที่โจทก์จำเลยอยู่กินกันฉันสามีภริยานานถึง 13 ปี และที่ดินพิพาทได้มาภายหลังการอยู่กินด้วยกันแล้ว 2 ปี ในการซื้อขายนั้นแม้จะใส่ชื่อจำเลยแต่ก็ใช้นามสกุลโจทก์ ตามพฤติการณ์แสดงว่าเป็นการได้มาซึ่งทรัพย์ร่วมกัน เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าทรัพย์พิพาทเป็นของจำเลยส่วนตัว แต่เป็นทรัพย์ที่โจทก์จำเลยทำมาหาได้ในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันมา ก็ต้องถือว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน
พิพากษายืน ยกฎีกาของจำเลย