แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
วัดมอบไม้จ้างให้จำเลยครองทำการแปรรูปในวัด จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงไม้จนกว่าจะได้รับชำระค่าจ้าง
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างเป็นใจความว่า จำเลยได้รับมอบหมายให้จัดการซื้อไม้และจ้างคนทำการแปรรูปไม้แทนวัดพริก ต่อมาจำเลยมาแจ้งว่าซื้อได้ไม้ก้านเหลือง 8 ต้น ไม้แดง 1 ต้น ในราคา 5,000 บาท และว่าจำเลยได้ออกเงินส่วนตัววางมัดจำไป 1,000 บาท ต่อมาเจ้าอาวาสวัดพริกได้จ่ายเงินของวัด 1,000 บาท ใช้ให้จำเลยแล้วและได้ให้นายฉุยออกเงิน 4,000 บาท ให้จำเลยไปชำระค่าไม้แทนวัดแล้ว จึงได้นำไม้ 9 ต้น มาทำการแปรรูปที่วัดพริก บัดนี้จำเลยขนเอาไม้ที่แปรรูปแล้วตามบัญชีท้ายฟ้องหมายอักษร ก. ราคา 3,297 บาท 25 สตางค์ กับตามบัญชีหมายอักษร ข. ราคา 250 บาท ไปโดยอ้างว่าเป็นไม้ของจำเลย จึงขอให้พิพากษาบังคับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้ดังกล่าวให้โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธต่อสู้ว่า ความจริงจำเลยรับเป็นผู้ติดต่อซื้อไม้ 10 ต้น ให้วัดในนามของจำเลยเป็นราคา 4,380 บาท จำเลย ได้ออกเงินมัดจำ 1,000 บาท กับค่าไม้ที่ค้าง 3,380 บาท ไปแล้วโจทก์หรือนายฉุยยังหาได้ใช้ให้จำเลยไม่ และจำเลยได้จ้างคนทำการแปรรูปไม้สิ้นค่าจ้างไป 2,637 บาท 85 สตางค์ วัดไม่ชำระค่าไม้ให้จำเลย จำเลยจึงขนไม้ไปไว้ในครอบครองของจำเลย
เนื่องจากข้อความตามคำให้การแก้คดีของจำเลยดังกล่าวนี้โจทก์จึงยื่นฟ้องจำเลยเป็นความอาญา ตามสำนวนหมายเลขดำที่ 469/2497 กล่าวหาเป็นใจความว่า จำเลยเอาความเท็จมาหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยซื้อไม้ได้ 9 ต้น ราคา 5,000 บาท โจทก์หลงเชื่อจึงจ่ายเงินให้จำเลยไป 5,000 บาท ซึ่งเกินราคาไม้ไป 620 บาท และจำเลยยักยอกเอาไม้อีกต้นหนึ่งนั้นไว้เป็นประโยชน์ของจำเลยเสียขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 และ 314 ประกอบด้วย มาตรา 71
ศาลจังหวัดจึงสั่งให้งดรอคดีแพ่งนี้ไว้ฟังผลของคดีอาญาตามที่โจทก์จำเลยขอ และโจทก์ขอถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาและตามคำพยานในคดีอาญานั้น โดยเห็นว่าคดีทั้งสองมีประเด็นเป็นอย่างเดียวกันว่าโจทก์ได้ชำระค่าไม้ให้จำเลยแล้วหรือยัง
ต่อมาศาลจังหวัดพิจารณาคดีอาญานั้นแล้ว พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 และ 314 ให้จำคุก6 เดือน
โจทก์จึงขอให้ดำเนินการพิจารณาคดีแพ่งนี้ต่อไป จะสืบพยานเฉพาะในเรื่องประเภทและจำนวนไม้แปรรูปที่ยังทุ่มเถียงกันอยู่ว่า จำเลยขนเอาไม้ประเภทใดไปเท่าใด ฝ่ายจำเลยขอให้งดรอคดีแพ่งนี้ไว้จนกว่าคดีอาญาจะถึงที่สุด
แต่ศาลเห็นไม่ควรงดรอ จึงดำเนินการสืบพยานไปทั้งสองฝ่ายเสร็จแล้วฟังว่า จำเลยขนกระดานไม้แดงไป 14 แผ่น กระดานไม้ก้านเหลือง39 แผ่น จริงดังที่โจทก์กล่าวอ้าง แต่การที่จำเลยขนไม้แปรรูปเหล่านี้ไป ได้ความว่า ฝ่ายโจทก์ไม่จ่ายค่าจ้างเลื่อยไม้หรือค่าจ้างแปรรูปไม้ให้จำเลย ศาลจังหวัดจึงเห็นคดีเป็นปัญหาว่า จำเลยมีสิทธิยึดหน่วงไม้แปรรูปเหล่านี้ไว้หรือไม่ และในปัญหาข้อนี้ศาลจังหวัดเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธิยึดหน่วงไม้รายนี้ไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 เพราะการที่จำเลยเข้าครอบครองไม้นั้นเริ่มมาแต่ทำการซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไปแล้วในคดีอาญานั้น คดีนี้ศาลจังหวัดจึงพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาไม้แปรรูป 3,454 บาท 25 สตางค์ ให้โจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิที่จำเลยจะเรียกร้องค่าจ้างเลื่อยไม้รายนี้ตามกฎหมาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลจังหวัดสิงห์บุรีให้ยกฟ้องของโจทก์เสียแล้ว (โดยข้อกฎหมายว่า วัดพริกไม่มีสิทธิจะมอบอำนาจให้ผู้อื่น (นายฉุย) ฟ้องคดีอาญาแทนวัดได้) และในปัญหาว่าโจทก์ได้ชำระค่าไม้ให้จำเลยแล้วหรือยัง อันเป็นประเด็นสำคัญที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันในคดีนี้ โจทก์ก็หาได้นำสืบไว้ไม่ ข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่า โจทก์ได้ชำระเงินแก่จำเลยแล้วตามฟ้อง ทั้งค่าจ้างเลื่อยไม้ทางวัดพริกก็ยังมิได้ให้แก่จำเลย โดยเหตุนี้จำเลยจึงมีสิทธิที่จะยึดไม้รายนี้ไว้ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องของโจทก์เสีย
โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์ว่าโจทก์มิได้นำสืบว่าโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลยแล้ว และค่าเลื่อยไม้โจทก์ยังมิได้ชำระให้จำเลยนั้น มิชอบด้วยกระบวนพิจารณา เพราะโจทก์ได้นำสืบไว้ในคดีอาญานั้นแล้ว ศาลอุทธรณ์หาได้หยิบยกมาวินิจฉัยในคดีนี้ไม่
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว ปรากฏว่าในประเด็นที่ทุ่มเถียงกันว่าโจทก์ได้ใช้ค่าไม้และค่าจ้างเลื่อยไม้หรือค่าจ้างแปรรูปไม้ให้จำเลยหรือยังนั้น โจทก์มิได้นำสืบเลยที่โจทก์อ้างว่าได้นำสืบไว้ในคดีอาญา ซึ่งโจทก์ได้แถลงต่อศาลว่าโจทก์ขอถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาและคำพยานในคดีอาญานั้น มิได้ปรากฏว่าจำเลยได้ตกลงยินยอมด้วย จึงไม่มีทางจะยกเอาคำพยานในคดีอื่นมาเป็นคำพยานในคดีนี้ได้ ยิ่งกว่านั้น ความกลับปรากฏตามสำนวนอาญาที่โจทก์อ้างว่า นายฉุยโจทก์เองได้เบิกความเป็นพยานรับอยู่ว่ายังไม่ได้ใช้ค่าจ้างเลื่อยไม้รายนี้ให้จำเลย เพราะนายฉุยเห็นสมควรให้เพียง 2,500 บาท แต่จำเลยไม่ยอม นายฉุยยังเบิกความต่อไปอีกว่า “ถ้าจำเลยตกลงเดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าก็จะปรึกษากันยอมให้เงินจำเลยสองพันห้าแล้วเลิกคดี” ดังนี้ก็เป็นอันชัดแจ้งว่าโจทก์ยังไม่ได้ใช้ค่าจ้างแปรรูปไม้รายนี้ให้จำเลยจริงดังจำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ฎีกาของโจทก์ที่คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อนี้จึงฟังไม่ได้ และหนี้ค่าจ้างทำการแปรรูปไม้นี้ย่อมเป็นคุณแก่จำเลย ผู้ได้รับมอบหมายจากโจทก์ให้ครอบครองไม้รายนี้ตั้งแต่แรกตลอดมา จำเลยจึงมีสิทธิที่จะยึดหน่วงไม้รายนี้ไว้จนกว่าโจทก์จะใช้ค่าจ้างทำการแปรรูปไม้ให้จำเลยตามความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 241 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาชอบแล้ว
ศาลฎีกาคงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาโจทก์เสีย ให้โจทก์เสียค่าทนายความชั้นฎีกาให้จำเลย 100 บาท