แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่มีสิทธิครอบครอง โจทก์และจำเลยต่างนำชี้ทับกันยังไม่แน่ชัดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์หรือจำเลยดังนั้น การวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงจำต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นเครื่องแสดงหรือบ่งชี้ว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทเพราะผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใดนั้นก็ย่อมมีสิทธิเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นได้ การที่ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยแล้ว พิพากษาคดีไปตามที่พิจารณาได้ความ จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 279 เนื้อที่ 20 ไร่ 3 งาน 97 ตารางวา จำเลยเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3909ที่ดิน จำเลยได้ทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยและชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 18 ตารางวา โจทก์ได้คัดค้านและบอกกล่าวให้จำเลยย้ายออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่สีเขียวท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าวของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยนำชี้แนวเขตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยย้ายออกไปจากที่ดินพิพาท ในวันที่เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยตามที่จำเลยได้ยื่นคำขอไว้นั้น จำเลยนำชี้ทำการรังวัดที่ดินแปลงดังกล่าวตามที่จำเลยครอบครองและทำประโยชน์อยู่ ซึ่งก็ได้เนื้อที่น้อยกว่าหลักฐานเดิม ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2535 โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความทำหนังสือคัดค้านการรังวัดที่ดินของจำเลยต่อเจ้าพนักงานที่ดินเป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองลำพูนไม่สามารถดำเนินการรังวัดสอบแนวเขตที่ดินที่ถูกต้องให้แก่จำเลยได้ ขอให้บังคับห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทและให้โจทก์ถอนคำร้องคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทพร้อมทั้งลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของจำเลย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุม โจทก์ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวในที่ดินของจำเลย บริเวณที่ดินที่จำเลยนำชี้แนวเขตนั้นเป็นที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยนำชี้รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ห้ามโจทก์เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาทและให้โจทก์ถอนคำร้องคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทพร้อมทั้งลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของจำเลย หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 2 ไร่ 1 งาน 41 ตารางวา ตั้งอยู่ที่ตำบลบางบ้านกลาง อำเภอเมืองลำพูนจังหวัดลำพูน สภาพที่ดินและเขตที่ดินพิพาทปรากฏตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.14คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาประการแรกว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีนอกประเด็นหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาข้อนี้ใจความว่าคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทกันว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลย การที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยมิได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของฝ่ายใดย่อมเป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นนั้น ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นเพียงที่ดินที่มีสิทธิครอบครอง เมื่อพิจารณาตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.14 ปรากฏว่าที่ดินของโจทก์และจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว ทั้งโจทก์และจำเลยต่างได้นำชี้ทับกันอยู่ยังไม่แน่ชัดว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์หรือจำเลยเนื่องจากที่ดินพิพาทต่างฝ่ายต่างนำชี้ว่าอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของตน ดังนั้น การวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทจึงจำต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อเป็นเครื่องแสดงหรือบ่งชี้ว่าผู้นั้นเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เพราะผู้ที่เป็นเจ้าของที่ดินแปลงใดผู้นั้นก็ย่อมมีสิทธิเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นได้ ดังนั้นการที่ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทจึงเป็นของจำเลยแล้วพิพากษาคดีไปตามที่พิจารณาได้ความ จึงมิใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นตามที่โจทก์กล่าวอ้างมาในฎีกาแต่อย่างใด ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน