คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1396/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยแต่งงานในปี พ.ศ. 2526 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกัน ภายหลังจากแต่งงานกันประมาณ 2 เดือน โจทก์ทำสัญญาเช่าร้านพิพาท โจทก์และจำเลยได้พักอาศัยและทำการค้าร่วมกันในร้านพิพาทเป็นเวลาประมาณ 9 เดือน หลังจากนั้น โจทก์ได้เลิกร้างกับจำเลยและออกจากบ้านพิพาทไป กรณีไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนชำระเงินค่าเซ้ง สิทธิการเช่า หรือเป็นผู้เช่าร้านพิพาท สิทธิการเช่าร้านพิพาทเกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์และจำเลยอยู่ร่วมฉันสามีภริยากันโจทก์และจำเลยได้พักอาศัย และร่วมทำการค้าอยู่ในร้านพิพาทด้วยกันเรื่อยมา แสดงว่าสิทธิการเช่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ที่หามาได้โดยโจทก์และจำเลยมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน การที่โจทก์ลงชื่อเป็นผู้เช่าร้านพิพาทแต่เพียงผู้เดียว ไม่เป็นข้อสันนิษฐานว่าจำเลยไม่มีส่วนร่วมด้วย สิทธิการเช่าร้านพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกัน ดังนี้ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่จำเลยไม่ยอมออกจากร้านพิพาท ที่โจทก์เรียกเงินที่นำไปลงทุนในการค้ากับจำเลยนั้น เนื่องจากเงินที่โจทก์นำไปลงทุนได้เอาไปซื้อเป็นสินค้าไว้จำหน่ายในร้านสินค้าที่โจทก์ซื้อมาย่อมจะต้องมีทั้งขายไปและซื้อมาใหม่ ดังนั้นในเวลาที่โจทก์เลิกร้างกับจำเลยสินค้าในร้านอาจมีมาก หรือน้อยกว่าที่เริ่มซื้อมาในครั้งแรก ศาลจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยชดใช้เงินตามที่โจทก์ฟ้องได้ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม สมควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่เกี่ยวกับสิทธิสินค้าในร้านพิพาทภายในกำหนดอายุความ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 87-89ถนนปัตตานีภิรมย์ อำเภออาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีและส่งมอบบ้านพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 120,000 บาท และในอัตราเดือนละ10,000 บาท นับจากวันฟ้องต่อไปจนกว่าจำเลยและบริวารได้ส่งมอบบ้านพิพาทแก่โจทก์เสร็จสิ้นให้จำเลยใช้คืนเงินทุนในกิจการค้าอันเป็นเงินส่วนตัวของโจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน218,750 บาท และชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 200,000 บาท นับจากวันฟ้องไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่าบ้านกับผู้ให้เช่าในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันโจทก์ไม่เคยนำเงินมาลงทุนในกิจการค้า 200,000 บาท จำเลยเองได้ขายที่ดินของจำเลยมาเพื่อลงทุนประกอบกิจการค้า โจทก์ไม่สามารถเรียกค่าเสียหายหรือค่าเช่าบ้านพิพาทจากจำเลยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าเช่าให้กับผู้ให้เช่า (วัดตานีนรสโมสร) โจทก์ไม่ได้เสียหายเดือนละ 10,000 บาท หากเสียหายจริงจำเลยรับผิดไม่เกิน 500 บาทต่อเดือน
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 87-89ถนนปัตตานีภิรมย์ ตำบลอาเนาะรู อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานีและส่งมอบบ้านคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และห้ามมิให้เกี่ยวข้อง ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายถึงวันฟ้อง 84,000 บาท และในอัตราเดือนละ 7,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยคืนเงินทุน 100,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2528 ไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะนำคดีไปฟ้องร้องจำเลยเกี่ยวกับสิทธิในห้องพิพาทต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามที่โจทก์ฎีกามีว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากร้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่โจทก์เรียกเงินที่นำไปลงทุนในการค้ากับจำเลยได้หรือไม่
ปัญหาแรก โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากร้านพิพาท และเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้แย้งกันแล้วฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยแต่งงานกันในปี 2526 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันภายหลังจากแต่งงานกันประมาณ 2 เดือน โจทก์ทำสัญญาเช่าร้านพิพาทจากวัดตานีนรสโมสรตามหนังสือสัญญาเช่า เอกสารหมาย จ.3 โดยจำเลยได้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่านั้นด้วย โจทก์และจำเลยได้พักอาศัยและทำการค้าร่วมกันในร้านพิพาทเป็นเวลาประมาณ 9 เดือน หลังจากนั้นโจทก์ได้เลิกร้างกับจำเลยและออกจากบ้านพิพาทไป… เห็นว่าไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนชำระเงินค่าเซ้งสิทธิการเช่าหรือเป็นผู้เช่าร้านพิพาทมาก็ตาม แต่สิทธิการเช่าร้านพิพาทเกิดขึ้นภายหลังที่โจทก์และจำเลยอยู่ร่วมฉันสามีภริยากันแล้ว นอกจากนั้นข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยได้พักอาศัยและร่วมทำการค้าอยู่ในร้านพิพาทด้วยกันเรื่อยมา พฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่า สิทธิการเช่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์ที่หามาได้โดยโจทก์และจำเลยมีเจตนาเป็นเจ้าของร่วมกัน การที่โจทก์ลงชื่อเป็นผู้เช่าร้านพิพาทแต่เพียงผู้เดียวไม่เป็นข้อสันนิษฐานว่า จำเลยไม่มีส่วนร่วมด้วย รูปคดีต้องฟังว่าสิทธิเช่าร้านพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกัน ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 83/2512 ระหว่าง นางส้มลิ้ม เมืองยศ โจทก์ นางสวยพริ้งสีไพบูลย์ จำเลย นายเยาะฮะ แซ่ม้า ผู้ร้อง ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากเหตุที่จำเลยไม่ยอมออกจากร้านพิพาท…
ปัญหาสุดท้าย โจทก์เรียกเงินที่นำไปลงทุนในการค้ากับจำเลยได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ซื้อสินค้ามาขายในร้านพิพาทเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท โดยจำเลยได้ร่วมลงทุนด้วยเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท นั้น เห็นว่า หากข้อเท็จจริงเป็นดังที่โจทก์นำสืบ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินที่นำไปลงทุนร่วมกับจำเลยแล้ว เนื่องจากเงินที่โจทก์นำไปลงทุนได้เอาไปซื้อเป็นสินค้าไว้จำหน่ายในร้านแล้ว สินค้าที่โจทก์ซื้อมาย่อมจะต้องมีทั้งขายไปและซื้อมาใหม่ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการค้าโดยทั่วไปดังนั้นในเวลาที่โจทก์เลิกร้างกับจำเลยสินค้าในร้านอาจมีมากหรือน้อยกว่าที่เริ่มซื้อมาในครั้งแรก แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าขณะที่โจทก์เลิกร้างกับจำเลยมีสินค้าอยู่ในร้านเป็นจำนวนมากน้อยเพียงใด อีกประการหนึ่ง ตามฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องขอให้แบ่งสินค้าในร้านพิพาทจากจำเลยกลับฟ้องเรียกเงินที่โจทก์นำไปเป็นทุนในการซื้อสินค้าเข้าร้าน ศาลจึงไม่อาจบังคับให้จำเลยชดใช้เงินตามที่โจทก์ฟ้องได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบยังฟังไม่ได้ว่า โจทก์นำเงินไปลงทุนซื้อสินค้าในร้านพิพาทจึงไม่ให้โจทก์ได้รับชดใช้เงินดังกล่าวจากจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล…แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เห็นควรไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องไปยื่นใหม่เกี่ยวกับสิทธิสินค้าในร้านพิพาทด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ตัดสิทธิที่โจทก์จะนำคดีไปฟ้องร้องจำเลยเกี่ยวกับสิทธิสินค้าในร้านพิพาท ภายในกำหนดอายุความ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.

Share