แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยฟ้องขอให้บังคับให้โจทก์รับเงินที่จำเลยกู้มาจำนวน16,000 บาทคืน และส่งมอบที่นาจำนวน 22 ไร่คืนแก่จำเลยเท่านั้นการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบหลักฐานเกี่ยวกับที่นาดังกล่าวคืนให้แก่จำเลยด้วยนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของจำเลย
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ นายเชิด แป้นเกตุกับนางเลียบ อินคงต่างยื่นฟ้องซึ่งกันและกัน โดยสำนวนแรกมีนายเชิด แป้นเกตุเป็นโจทก์ นางเลียบ อินคง เป็นจำเลย ส่วนสำนวนหลังเป็นทำนองกลับกัน ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยให้เรียกโจทก์ในสำนวนแรก จำเลยในสำนวนหลังเป็นโจทก์ และจำเลยในสำนวนแรกโจทก์ในสำนวนหลังเป็นจำเลย
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยได้มาทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 125,200 บาท ได้รับเงินไปครบถ้วนแล้วปรากฏตามสำเนาหนังสือสัญญากู้ยืมท้ายฟ้อง จำเลยได้ส่งมอบการครอบครองที่ดินตามใบไต่สวน เลขที่ 199 ตำบลบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เนื้อที่ 22 ไร่ ให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย นับแต่จำเลยกู้เงินไปจำเลยไม่เคยนำเงินมาชำระแก่โจทก์ โจทก์ทวงถามหลายครั้งแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 125,200 บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณปี 2505 จำเลยได้ไปกู้ยืมเงินโจทก์4,500 บาท และมอบที่นาเนื้อที่ 22 ไร่ อยู่ที่หมู่ที่ 8 ตำบลบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ให้โจทก์ครอบครองทำกินต่างดอกเบี้ย มีนายโพธิ์ ศรีเพ็ชร เป็นผู้เขียนสัญญากู้ ต่อมาอีกประมาณ 7-8 ปี จำเลยได้กู้เงินโจทก์อีก 1,500 บาท โดยมิได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืมกันไว้เป็นหลักฐาน เพียงแต่โจทก์ได้ให้จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือของจำเลยในฐานะผู้กู้ไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงินที่ยังมิได้กรอกข้อความให้โจทก์ยึดถือไว้ ต่อมาจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 5,000 บาท รวมเป็นเงินที่กู้ยืมจากโจทก์ทั้งสิ้น 16,000 บาท ในปี 2531 จำเลยได้ไปติดต่อขอชำระหนี้ดังกล่าวเพื่อไถ่ถอนที่นาคืน แต่โจทก์จะให้ชำระหนี้ที่นางนงลักษณ์บุตรจำเลยเป็นหนี้โจทก์ด้วย จำเลยจึงไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อนายอำเภอบ้านสร้างแต่ตกลงกันไม่ได้ จำเลยไม่เคยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินจำนวน 125,200 บาท ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังจำเลยฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทำนองเดียวกับคำให้การในสำนวนแรก ขอให้บังคับให้โจทก์รับเงินที่จำเลยกู้มาจำนวน16,000 บาทคืนและให้โจทก์ส่งมอบที่นาจำนวน 22 ไร่ คืนให้แก่จำเลย
โจทก์ให้การทำนองเดียวกับฟ้องสำนวนแรก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์จำนวน 16,000 บาทและให้โจทก์ส่งมอบที่นาจำนวน 22 ไร่ หมู่ที่ 8 ตำบลบางแตนอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ที่โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ยให้จำเลยพร้อมทั้งหลักฐาน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในปี 2505 จำเลยได้ไปกู้เงินโจทก์ และมอบที่นาเนื้อที่ 22 ไร่ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 8 ตำบลบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี ให้โจทก์ใช้ทำกินต่างดอกเบี้ย และหลังจากนั้นจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์เพิ่มหลายครั้ง ปัญหาตามฎีกาโจทก์มีว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 125,200 บาท หรือไม่ … เห็นว่า ตามบันทึกการไกล่เกลี่ยเอกสารหมาย ล.1 ไม่มีการพูดถึงยอดหนี้ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เลย นายสันติพยานจำเลยเองก็เบิกความยืนยันว่าโจทก์ไม่เคยอ้างว่าจำเลยเป็นหนี้อยู่ 125,200 บาท ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เพราะถ้าหากอ้างถึงพยานจะต้องให้นำหลักฐานมาแสดงพฤติการณ์ที่จำเลยไปขอชำระหนี้และขอที่ดินคืน จำเลยก็ยืนยันว่าเป็นหนี้โจทก์อยู่เพียง 16,000 บาท หากจำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์ไปเป็นเงิน 125,200 บาท ตั้งแต่ปี 2525 จริงจำเลยคงไม่ไปขอไถ่ที่ดินคืนในหนี้จำนวน 16,000 บาทเป็นแน่ ตามสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ปรากฏสีหมึกยังสด คล้ายของใหม่ ทางโจทก์อ้างว่าทำสัญญามาแต่ปี 2525 ขัดกับสภาพสีหมึกที่ปรากฏในสัญญา ในสัญญามีนายบุญเรือง เอี่ยมละออ เป็นพยานรู้เห็นการกู้ยืมเงิน โจทก์ก็มิได้นำมาสืบ พฤติการณ์แห่งคดีน่าเชื่อว่า มีการกรอกข้อความในแบบฟอร์มสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีลายพิมพ์นิ้วมือจำเลยพิมพ์ไว้ในการกู้ยืมเงินโจทก์เพิ่มครั้งที่สอง โดยจำเลยมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยดังที่จำเลยต่อสู้ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่จำเลยฟ้องขอให้บังคับให้โจทก์รับเงินที่จำเลยกู้มาจำนวน 16,000 บาท คืนและส่งมอบที่นาจำนวน 22 ไร่ คืนแก่จำเลยเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ส่งมอบหลักฐานเกี่ยวกับที่นาดังกล่าวคืนให้แก่จำเลยด้วย จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอของจำเลย สมควรแก้ไขให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์ไม่ต้องส่งมอบหลักฐานของที่นาจำนวน22 ไร่ หมู่ที่ 8 ตำบลบางแตน อำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรีให้แก่จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์