แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยตกลงกับโจทก์ เอาเรือนของจำเลยตีใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์เป็นราคา 9,500 บาทโดยให้โจทก์รื้อเอาเรือนไปใน 5 วัน นั้น หาจำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม ป.พ.พ.มาตรา 456 ไม่ข้อตกลงดังกล่าว เป็นการแปลงหนี้ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 349 โดยคู่กรณีได้ตกลงเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ คือเอาเรือนของ จำเลยชำระหนี้แทนที่จะต้องนำเงินมาชำระตามสํญญากู้ ฉะนั้นหนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นอันระงับไป./
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๒ คราวต่อมาได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนและหักกลบลบหนี้กัน จำเลยตกลงโอนบ้าน เรือนของจำเลยให้โจทก์เป็นการใช้หนี้ แต่เมื่อครบกำหนดตามที่ตกลงกันให้โจทก์รื้อบ้านไป จำเลยกลับบิดพลิ้ว จึงขอ ให้จำเลยใช้เงินกู้ที่ยังค้างอยู่ ๙,๕๐๐ บาท .
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่รื้อเรือนไปเองจะมาฟ้องจำเลยไม่ชอบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน ๙,๕๐๐ บา พร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลย ให้เอาเรือนของจำเลยที่เป็นประกันเงินกู้ตีใช้หนี้เงินกู้ให้โจทก์เป็นราคา ๙,๕๐๐ บาท โดยให้โจทก์รื้อเอาเรือนไปใน ๕ วันนั้น หาจำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๔๕๖ ไม่ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการแปลงหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๓๔๙ โดยคู่กรณีได้ตกลงเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็น สาระสำคัญแห่งหนี้คือเอาเรือนของจำเลยชำระหนี้แทนที่จะต้องนำเงินมาชำระตามสัญญากู้ หนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์จำเลย จึงเป็นอันระงับไป โจทก์จะมาฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญาซึ่งระงับไปแล้วหาได้ไม่ จึงพิพากษายืน.