คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1326/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยติดต่อค้าขายไม้ซุงกัน โดยโจทก์ให้เงินจำเลยไปก่อน เมื่อจำเลยส่งไม้มาให้โจทก์ก็คิดหักราคาไม้กับเงินที่จำเลยรับไปล่วงหน้า และถ้าไม้ที่จำเลยส่งมีราคาน้อยกว่าเงินที่จำเลยรับไป หักเหลือเงินเท่าใดก็ขึ้นบัญชีไว้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ ดังนี้ความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยจึงเป็นสัญญาชนิดหนึ่งอันเกิดจากข้อตกลงในการที่จะซื้อขายไม้กัน ซึ่งไม่เข้ากับบทบัญญัติบทหนึ่งบทใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉะนั้น ในกรณีที่เงินของโจทก์ยังเหลืออยู่ที่จำเลยมากน้อยเท่าใด จึงมีสภาพเป็นเรื่องที่จำเลยเก็บรักษาเงินของโจทก์ไว้เพื่อทำการซื้อขายไม้กันต่อไป เมื่อจำเลยไม่มีไม้มาขายให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนั้นได้
อายุความเรียกร้องเช่นนี้ไม่มีบทกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะจึงต้องปรับใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา164 ซึ่งเป็นอายุความเรียกร้องทั่วไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพ่อค้าไม้ซุง เมื่อก่อน พ.ศ. 2497 จำเลยได้มาติดต่อทำไม้ซุงส่งขายให้แก่โจทก์ โดยจำเลยได้รับเงินล่วงหน้าไปจากโจทก์หลายคราวคิดเป็นเงิน 292,545.86 บาท แล้วจำเลยได้นำไม้ซุงส่งขายให้โจทก์รวม 888 ท่อน เป็นเงิน 125,442.75 บาท ในปี พ.ศ. 2497 จำเลยได้มาคิดบัญชีหนี้สินระหว่างกัน แล้วจำเลยยอมรับสภาพหนี้ว่ายังเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่อีก 167,103.11 บาท โดยจำเลยได้ลงลายมือชื่อรับผิดไว้ในรายการคิดบัญชี และจำเลยขอผัดชำระหนี้ที่ค้างให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว ต่อมาปี พ.ศ. 2502 จำเลยนำเงินมาผ่อนชำระจำนวน 27,865 บาท หนี้จำเลยจึงคงลดเหลือ 139,238.11 บาท โจทก์ได้ทวงถามตลอดมา แต่จำเลยก็เพิกเฉยเสีย ขอให้จำเลยชำระหนี้ 139,238.11 บาท ให้จำเลยเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีสำหรับต้นเงินจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า มิได้เป็นลูกหนี้โจทก์ และมิได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ การชำระหนี้เงินจำนวน 27,865 บาท เป็นการชำระหนี้รายอื่นไม่เกี่ยวกับหนี้ที่โจทก์ฟ้อง หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ในทางการค้าธรรมดา มิใช่เพื่ออุตสาหกรรมของลูกหนี้อย่างใด หากจะเป็นหนี้กันจริง ก็เป็นหนี้ที่ขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ และจำเลยเป็นหนี้โจทก์จริงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า การฟ้องเรียกเงินคืนในเรื่องนี้ต้องฟ้องเรียกในฐานลาภมิควรได้ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นพ่อค้าไม้ โจทก์ให้เงินแก่จำเลยไปก่อนเมื่อจำเลยส่งไม้มาให้โจทก์ก็คิดหักราคาไม้กับเงินที่จำเลยรับไปล่วงหน้า ถ้าไม้ที่ส่งมีราคามากกว่าเงินที่จำเลยรับไป โจทก์ก็ต้องชำระเงินเพิ่มให้จำเลยจนครบ แต่ถ้าไม้ที่จำเลยส่งให้โจทก์มีราคาน้อยกว่าเงินที่จำเลยรับไปหักเหลือเงินเท่าใดก็ขึ้นบัญชีไว้ว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์ โดยให้จำเลยลงชื่อรับรองไว้เป็นหลักฐาน และเมื่อหักบัญชีกันแล้ว จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์อยู่ 139,238.11 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยไม่ชำระให้

ศาลฎีกาเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยเกิดขึ้นจากสัญญาข้อตกลงในอันที่จะซื้อขายไม้กันโดยวิธีที่จำเลยรับเงินจากโจทก์ก่อน และจำเลยจะต้องจัดหาไม้มาส่งมอบขายให้แก่โจทก์ ได้ไม้เป็นจำนวนมากน้อยเท่าใดก็คิดราคากัน แล้วจึงหักจากยอดเงินที่จำเลยรับไปจากโจทก์ในลักษณะซื้อขายไม้กัน ฉะนั้น ในกรณีที่เงินของโจทก์ยังเหลืออยู่ที่จำเลยมากน้อยเท่าใด จึงมีสภาพเป็นเรื่องจำเลยเก็บรักษาเงินของโจทก์ไว้เพื่อทำการซื้อขายไม้กันต่อไป ถ้าจำเลยไม่มีไม้มาขายให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินนั้นได้ เนื่องจากลักษณะแห่งความสัมพันธ์ระหว่างโจทก์จำเลยดังกล่าวแล้วเป็นนิติสัมพันธ์อันเป็นสัญญาชนิดหนึ่ง ไม่เข้ากับบทบัญญัติบทหนึ่งบทใดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รูปคดีของโจทก์จึงต้องปรับใช้อายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 กำหนด 10 ปี อันเป็นอายุความเรียกร้องทั่วไป ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share