คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1394/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไป รับเงินไปตามสัญญา และได้ทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง แม้ได้ความตามทางพิจารณาว่า การกู้ยืมรายนี้มีมูลกรณีมาจากการที่จำเลยยืมเงินโจทก์ ซื้อข้าวหรือเชื่อข้าวสาร ของโจทก์แล้วสัญญาว่าจะใช้ด้วยข้าวเปลือกดังโจทก์นำสืบก็ดี แต่ภายหลังจำเลยไม่เอาข้าวเปลือกใช้หนี้ แต่มาทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์ไว้ในภายหลังตามสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้องและจำเลยยังไม่ได้ใช้หนี้ กรณีเช่นนี้เป็นแต่เพียงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงว่ามูลกรณีแห่งการกู้ยืมรายนี้เป็นมาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องได้ความแตกต่างผิดไปจากฟ้องทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ เพราะจำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ว่ามีหนี้สินเดิมกับโจทก์ มาจริงเนื่องจากการซื้อเชื่อข้าวสารโจทก์และจำเลยก็ได้เอาข้าวเปลือกชำระไปจนหมดหนี้สินแล้วไม่มีพันธะต่อกัน ลายมือชื่อในสัญญาไม่ใช่ลายมือของจำเลย หากแต่จำเลยนำสืบไม่สม จำเลยต้องใช้หนี้ตามโจทก์ฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖ จำเลยในคดีให้กู้ยืมเงินของโจทก์ใช้เป็นจำนวนเงิน๒,๒๐๐ บาทเงินนี้จำเลยได้รับไปแล้วตั้งแต่วันทำสัญญากู้ยืม ตามสำเนาท้ายฟ้อง
การกู้เงินไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้หลังจากทำสัญญาแล้วหลายเดือน โจทก์เตือนให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยหลายครั้ง จำเลยขอผัดชำระและค้างดอกเบี้ยตลอดมา คิดอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปี ระยะเวลา ๕ ปี เป็นเงิน ๘๒๕ บาท โจทก์ถือว่าจำเลยผิดนัดผิดสัญญา โจทก์เสียหายขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ชำระต้นเงิน ๒,๒๐๐ บาท กับดอกเบี้ย ๘๒๕ บาท แก่โจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ไม่เคยรับเงินจากโจทก์ ลายมือชื่อตามสำเนาหนังสือกู้ยืมท้ายฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย ความจริงเมื่อเดือน ๗ วันใดจำไม่ได้ ประมาณ ๘ ปีมาแล้ว จำเลยตกลงทำสัญญาซื้อเชื่อข้าวสารจากโจทก์ ๑๐ กระสอบ เป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท โดยจำเลยจะใช้เป็นข้าวเปลือก ๒๐๕ กระเฌอ ในเดือน ๓ ปีเดียวกัน แล้วจำเลยก็ได้ส่งมอบข้าวเปลือกตามจำนวนที่ตกลงให้โจทก์แล้ว วันรุ่งขึ้น จำเลยไปขอสัญญาซื้อเชื่อข้าวสารคืน โจทก์ว่าได้ทำลายทิ้งแล้ว โจทก์จำเลยไม่มีพันธะต่อกัน ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยได้ทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้จริง โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้โดยไม่ได้บรรยายถึงมูลที่มาแห่งหนี้ว่าเป็นมาอย่างไร เวลานำสืบกลับนำสืบว่าจำเลยได้รับเงินไปตามวันที่กล่าวในฟ้อง ที่จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์เพราะจำเลยได้ยืมเงินโจทก์ไปตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๕ เป็นเงิน ๒,๒๐๐ บาท จำเลยจะชำระเป็นข้าวเปลือก ๒๗๕ ถังในเดือน ๓ ปีเดียวกัน การนำสืบเป็นการนำสืบนอกฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๔,๘๖ และ ๘๗ (๑) รับฟังไม่ได้ โจทก์กล่าวยืนยันในฟ้องว่าจำเลยยืมเงินไปตามสัญญาท้ายฟ้องจำเลยไม่มีทางต่อสู้เป็นอย่างอื่น นอกจากปฏิเสธว่าไม่ได้กู้ จำเลยหลงข้อต่อสู้ไปตามข้อความที่โจทก์บรรยายฟ้อง และโจทก์สืบไม่สมฟ้อง แม้จำเลยจะยอมคนเข้าผูกพันทำสัญญาท้ายฟ้องกับโจทก์ก็บังคับจำเลยไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป และทำหนังสือสัญญากู้ให้โจทก์ได้ดังสำเนาท้ายฟ้อง แม้จะได้ตามทางพิจารณาว่า การกู้ยืมรายนี้มีมูลกรณีจากจำเลยยืมเงินโจทก์ซื้อข้าวสาร หรือจำเลยซื้อเชื่อข้าวสารหรือยืมข้าวสารของโจทก์ไป แล้วสัญญาว่าจะใช้ด้วยข้าวเปลือก ดังโจทก์จำเลยสืบก็ดี เมื่อภายหลังจำเลยไม่เอาข้าวเปลือกใช้หนี้ แต่มาทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้ตามที่โจทก์ฟ้อง จำเลยก็คงมีหน้าที่รับผิดตามสัญญากู้ กรณีเช่นนี้ เป็นแต่รายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงว่ามูลกรณีแห่งการกู้ยืมรายนี้เป็นมาอย่างไรเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องได้ความแตกต่างผิดไปจากฟ้อง ทั้งจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ เพราะจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่าได้มีหนี้สินเกิดจากการซื้อเชื่อข้าวสาร และจำเลยก็ได้เอาข้าวชำระแก่โจทก์แล้ว ไม่มีพันธะต่อกัน และลายมือชื่อในสัญญาท้ายฟ้องไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย จำเลยนำสืบไม่สม คดีฟังได้ว่าจำเลยยังคงเป็นหนี้โจทก์ จำเลยต้องใช้หนี้ให้โจทก์ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๐/๒๕๐๓ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้เงินต้นและดอกเบี้ยตามโจทก์ฟ้อง
จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๗๒ โจทก์นำสืบแตกต่างกับฟ้อง และจำเลยหลงข้อต่อสู้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยได้กู้เงินของโจทก์ไป รับเงินไปตามสัญญา และได้ทำหนังสือกู้ให้โจทก์ไว้ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง แม้จะได้ความตามทางพิจารณาว่าการกู้ยืมรายนี้มีมูลกรณีมาจากการที่จำเลยยืมเงินโจทก์ซื้อข้าวสารหรือเชื่อข้างสารของโจทก์แล้ว สัญญาว่าจะใช้ด้วยข้าวเปลือกดังโจทก์จำเลยนำสืบมาก็ดี แต่ภายหลังจำเลยไม่เอาข้าวเปลือกใช้หนี้ แต่มาทำสัญญากู้ให้แก่โจทก์ไว้ภายหลัง ตามสัญญากู้ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง และจำเลยยังไม่ได้ใช้หนี้ จำเลยก็คงต้องมีหน้าที่รับผิดตามสัญญากู้ กรณีเช่นนี้ เป็นแต่เพียงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงว่ามูลกรณีแห่งการกู้ยืมรายนี้เป็นมาอย่างไร ไม่ใช่เรื่องได้ความแตกต่างไปจากฟ้อง ทั้งจำเลยก็มิไดหลงข้อต่อสู้ เพราะจำเลยได้ให้การต่อสู้คดีไว้ว่ามีหนี้สินเดิมกับโจทก์มาจริง เนื่องจากการซื้อเชื่อข้าวสารโจทก์ และจำเลยก็ได้เอาข้าวเปลือกชำระไปจนหมดหนี้สินแล้ว ไม่มีพันธะต่อกัน และลายมือชื่อในสัญญากู้ไม่ใช่ลายมือของจำเลย จำเลยยังคงเป็นหนี้โจทกอยู่ จำเลยต้องใช้หนี้โจทก์ตามฟ้อง
พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลย

Share