แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคท้าย ที่บัญญัติว่า”สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริงเป็นอันสิ้นไปเมื่อครบกำหนดสองปีนับจากวันที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี…”หมายถึงผู้ที่เสียเงินอากรไว้เกินจำนวนที่ต้องเสีย ต้องยื่นคำร้องขอเงินอากรที่เสียไว้เกินภายใน 2 ปี แต่การที่ฟ้องโจทก์ฟ้องขอคืนค่าอากรที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเพิ่มเติมตามมาตรา 112,112 ทวิ โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ต้องเสียอากรเพิ่มตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างเดือนตุลาคม 2537 ถึงเดือนมิถุนายน 2541 โจทก์นำเข้าสินค้าเคมีภัณฑ์ จำนวน 12 เที่ยว โดยในชั้นผ่านพิธีการศุลกากรโจทก์สำแดงเสียภาษีตามราคาที่โจทก์ซื้อมาจริงเป็นราคาแท้จริงในท้องตลาดขณะนั้น โจทก์ชำระภาษีแล้วต่อมาจำเลยประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าเพิ่มขึ้นโดยมิได้แจ้งว่าเพิ่มขึ้นเป็นเมตริกตันละเท่าใด เพียงแต่แจ้งให้โจทก์ไปชำระค่าอากรขาเข้าเพิ่มพร้อมกับเงินเพิ่มและภาษีอื่น ๆเพิ่ม โจทก์นำเงินไปชำระแล้วการที่จำเลยประเมินราคาเพิ่มและเรียกค่าภาษีอากรเพิ่มดังกล่าวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะราคาที่ประเมินเพิ่มไม่ใช่ราคาอันแท้จริงในท้องตลาด การที่จำเลยประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าเพิ่มสูงขึ้นเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 2 วรรคสอง มาตรา 112 ทวิ และมาตรา 14 ราคาที่จำเลยถือเป็นเกณฑ์ประเมินเรียกเก็บภาษีอากรสำหรับสินค้าของโจทก์ที่นำเข้ามิใช่ราคาตามความหมายในพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530มาตรา 9 จำเลยต้องคืนเงินภาษีอากรที่เรียกเก็บไว้โดยไม่ถูกต้องแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ .625 ต่อเดือน หรือร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ชำระเพิ่มไว้จนถึงวันฟ้อง ขอให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีอากรและเงินเพิ่มเกี่ยวกับการประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าตามฟ้อง ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 1,150,033.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 916,616.19 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ฟ้องขอคืนเงินอากรเกินกว่ากำหนด 2 ปี นับแต่วันนำของเข้ามาในราชอาณาจักร ฟ้องโจทก์ขาดอายุความโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินเรียกเก็บภาษีอากรและเงินเพิ่มเกี่ยวกับการประเมินราคาสินค้าที่โจทก์นำเข้าตามฟ้อง และให้จำเลยคืนเงิน1,150,033.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน916,616.19 บาท นับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยจำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ฟ้องขอคืนภาษีอากรคดีนี้เกิน 2 ปี จึงขาดอายุความตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 มาตรา 10 วรรคท้าย เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 10 วรรคท้าย บัญญัติว่า “สิทธิในการเรียกร้องขอคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียจริง เป็นอันสิ้นไปเมื่อครบกำหนดสองปีนับจากวันที่นำของเข้าหรือส่งของออกแล้วแต่กรณี…” หมายถึงผู้ที่เสียเงินอากรไว้เกินจำนวนที่ต้องเสีย ต้องยื่นคำร้องขอเงินอากรที่เสียไว้เกินภายใน 2 ปี แต่คดีนี้โจทก์ขอคืนค่าอากรที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่เรียกเก็บเพิ่มเติมตามมาตรา 112, 112 ทวิ โดยโจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ต้องเสียอากรเพิ่มตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมิน ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30โจทก์ได้ชำระค่าอากรและเงินเพิ่มตามที่ได้แจ้งการประเมินไปในระหว่างวันที่ 11พฤศจิกายน 2539 ถึงวันที่ 4 ธันวาคม 2541 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2544ยังไม่พ้น 10 ปี ฟ้องของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน