คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1388/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นภรรยาจำเลยซึ่งถูกยึดทรัพย์จะมายื่นคำร้องขอให้งดขายทอดตลาดทรัพย์จำเลยที่ถูกยึด โดยอ้างว่าตนกำลังฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากจำเลย โดยไม่ปรากฏว่ามีการหย่าขาดจากกัน หรือไม่ปรากฏในคำร้องว่า ผู้ร้องกับสามีมีสัญญาตกลงให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการสินบริคณฑ์อย่างใด ไม่ได้ เพราะอย่างไรๆ หนี้ของจำเลยก็ผูกพันมาถึงสินบริคณฑ์ด้วย

ย่อยาว

มูลเดิมโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยพร้อมด้วยดอกเบี้ยเป็นเงิน 91,000 บาท โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมใช้เงิน ถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระโจทก์จึงขอให้ศาลยึดทรัพย์หลายอย่างมีที่ดินบ้านเรือน เครื่องยนต์สีข้าวและช้างเป็นต้นโดยอ้างว่าเป็นของจำเลย
นางหนูนิลภริยาจำเลยยื่นคำร้องว่าทรัพย์ทั้งหมดที่เจ้าพนักงานจัดการยึดเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลย และผู้ร้องกำลังฟ้องโจทก์จำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมที่ทำไว้เพราะเป็นการสมคบกันฉ้อโกงทรัพย์สินอันเป็นส่วนได้ของผู้ร้อง และยังฟ้องขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยอีก จึงขอให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งงดขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดไว้ก่อน
โจทก์คัดค้านว่าไม่มีสิทธิมาขัดขวางมิให้โจทก์บังคับคดีเพราะผู้ร้องและจำเลยยังเป็นสามีภรรยากัน
ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์สั่งให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องกับจำเลยยังเป็นสามีภรรยากันและไม่ปรากฏว่าได้มีสัญญาตกลงก่อนสมรสว่าผู้ร้องเป็นผู้จัดการทรัพย์สินบริคณห์ หรือจัดการร่วมกับสามี ทั้งในเรื่องสัญญาประนีประนอมนั้นอย่างไร ๆ ผลก็ต้องผูกพันจำเลย ตลอดไปถึงส่วนของสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องกับจำเลยด้วย การรีรอการขายทอดตลาดไว้โจทก์จะเสียหายจึงสั่งยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เสียให้บังคับคดีไปตามศาลชั้นต้น

Share