แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามให้การว่า เช็คพิพาทปราศจากมูลหนี้ จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นหนี้โจทก์และหากจำเลยทั้งสามจะเคยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามก็ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว เป็นคำให้การที่ขัดกันเอง ไม่ชัดแจ้ง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสองจึงฟังข้อเท็จจริงได้ตามฟ้องโจทก์โดยไม่ต้องสืบพยาน โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดชดใช้เงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจนถึงวันที่จำเลยที่ 1 และที่ 3 ชำระหนี้ครั้งแรก และคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระหนี้เสร็จให้แก่โจทก์ของต้นเงินเดิม อีก จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อน ดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคสอง อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน 100,000 บาท จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สลักหลัง มอบให้โจทก์เพื่อเป็นการชำระหนี้ เมื่อถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินต่อมาจำเลยที่ 1และที่ 3 ชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลือจำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน106,870 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสามให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะไม่ได้บรรยายให้ชัดแจ้ง ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเช็คพิพาทฉบับดังกล่าวรับมาเมื่อใด เป็นมูลหนี้อะไรทำให้จำเลยทั้งสามไม่สามารถเข้าใจและให้การต่อสู้คดีได้ โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เช็คพิพาทปราศจากมูลหนี้ จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ หากจำเลยทั้งสามจะเคยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามก็ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว แต่โจทก์ไม่คืนเช็คพิพาทให้ จำเลยทั้งสามไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องโจทก์และคำให้การของจำเลยแล้วเห็นว่าประเด็นข้อพิพาทมีเพียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ส่วนข้อต่อสู่อื่นของจำเลยเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ทั้งยังขัดกัน จึงไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท และข้อต่อสู้ว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลวินิจฉัยได้เองโดยไม่ต้องสืบพยาน จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม และข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2529 (ที่ถูกวันที่ 6 พฤษภาคม2530) จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ชำระเงินให้โจทก์ไปจำนวน 10,000 บาทแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 96,870 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง หรือย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานและพิพากษาคดีใหม่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่าที่จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเช็คพิพาทปราศจากมูลหนี้ จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ หากจำเลยทั้งสามจะเคยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามก็ได้ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทให้โจทก์เรียบร้อยแล้วนั้น เป็นคำให้การชัดแจ้งอันมีประเด็นนำสืบหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คำให้การดังกล่าวของจำเลยทั้งสามในตอนแรกอ้างว่า เช็คพิพาทปราศจากมูลหนี้จำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ เป็นการปฏิเสธว่าได้ออกเช็คไปโดยไม่มีมูลหนี้ ส่วนในตอนหลังที่ให้การว่า หากจำเลยทั้งสามจะเคยเป็นหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามก็ได้ชำระหนี้ตามเช็คให้โจทก์เรียบร้อยแล้วเป็นการรับว่าออกเช็คโดยมีมูลหนี้ จึงเป็นคำให้การที่ขัดกันเองไม่ชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองไม่มีการปฏิเสธฟ้องโจทก์ จึงฟังข้อเท็จจริงได้ตามฟ้องโจทก์โดยไม่ต้องสืบพยาน คำพิพากษาศาลล่างทั้งสองที่เกี่ยวกับการงดสืบพยานชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยทั้งสามเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน96,870 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์นั้น ปรากฏว่าเงินจำนวน 6,870 บาท เป็นดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2530ซึ่งเป็นวันที่จำเลยชำระหนี้ 10,000 บาท ให้แก่โจทก์ ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในเงินจำนวนดังกล่าวอีก จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคสอง อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้เฉพาะเรื่องการคิดดอกเบี้ยเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 90,000 บาท แก่โจทก์.