แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดด้วยการนำรถยนต์บรรทุกซึ่งมีน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่าที่ทางการกำหนดถึง 6,100 กิโลกรัม มาเดิน บนทางหลวงแผ่นดิน เป็นการทำความเสียหายแก่ทางหลวงอันเป็นทางสัญจรไปมาของประชาชนมีผลเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติ ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 2 ก็หลีกเลี่ยงไม่มาฟังคำพิพากษาทั้ง ๆ ที่ได้ทำสัญญาประกันไว้ต่อศาลว่าจะปฏิบัติตามนัด จนศาลต้องสั่งปรับจำเลยที่ 2 จำเลยเป็นคนมีความรู้เป็นนิติศาสตร์บัณฑิต และกำลังศึกษาอยู่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา แต่มิได้คำนึงถึงความสูญเสียของส่วนรวม จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์บรรทุกบรรทุกยางแอสพาติกมีน้ำหนักเกินกำหนดตามประกาศผู้อำนายการทางหลวงแผ่นดิน เป็นจำนวน6,100 กิโลกรัม เดินบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 210 วังสะพุง-อุดรธานีเป็นเหตุให้ทางหลวงแผ่นดินเสียหาย และตามวันเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างจำเลยที่ 1 ได้ใช้จ้างวานจำเลยที่ 1 ให้กระทำผิดดังกล่าว ขอให้ลงโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 295ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 56, 83 ประกาศผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะโดยที่ยานพาหนะนั้นมีน้ำหนักน้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนด เดินบนทางหลวงแผ่นดิน ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2519 ข้อ 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 295 ลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 56, 83 ประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงแผ่นดิน เรื่อง ห้ามใช้ยานพาหนะโดยทียานพาหนะนั้นมีน้ำหนัก น้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่ได้กำหนดเดินบนทางหลวงแผ่นดิน ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2519ข้อ 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 ให้จำคุกคนละสองเดือนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละหนึ่งเดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับหรือรอการลงโทษจำคุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยอธิบดีกรมอัยการรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 2 ใช้ให้จำเลยที่ 1 กระทำผิดด้วยการนำรถยนต์บรรทุกซึ่งมีน้ำหนักรถยนต์และน้ำหนักบรรทุกรวมกันเกินกว่าที่ทางการกำหนดถึง 6,100 กิโลกรัม มาเดินบนทางหลวงแผ่นดินจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตและกำลังศึกษาอยู่ในสำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา หากต้องรับโทษจำคุกจะเป็นการตัดอนาคตในการรับราชการโดยเฉาพะในสถาบันที่ทรงความยุติธรรมที่จำเลยใฝ่ฝันนั้น เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ซึ่งทำสัญญาประกันไว้ต่อศาลว่าจะปฏิบัติตามนัดหรือหมายเรียกของศาล เมื่อศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยที่ 2 มาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยกลับหลีกเลี่ยงไม่มาฟังคำพิพากษา จนกระทั่งศาลต้องสั่งปรับจำเลยที่ 2 ผู้ทำสัญญาประกันตนเองและออกหมายจับ และตั้งแต่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย และออกหมายจับจำเลยที่ 2มารับโทษตามคำพิพากษาจนกระทั่งจำเลยที่ 1 ซึ่งรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์พ้นโทษไปแล้วก็ยังไม่ได้ตัวจำเลยที่ 2มาศาล ทั้งน้ำนหักบรรทุกก็เกินกว่าที่ทางการกำหนดถึง 6,100 กิโลกรัมซึ่งเป็นการทำความเสียหายแก่ทางหลวงแผ่นดินอันเป็นทางสัญจรไปมาของประชาชนมีผลเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติ จำเลยเป็นคนมีความรู้แต่ก็มิได้คำนึงถึงความสูญเสียของส่วนรวมดังกล่าว จึงไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษให้จำเลยที่ 2 ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.