คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ข้อ 1 จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินและค้างชำระค่าเช่าที่ดินโจทก์หรือไม่ เพียงใด ข้อ 2 โจทก์บอกเลิกการเช่าที่ดินโดยชอบหรือไม่ ข้อ 3 โจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด ต่อมาศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่เป็นว่า ข้อ 1 ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ และข้อ 2 จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จากโจทก์ที่ 2 และค้างชำระค่าเช่าหรือไม่ และค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด เป็นเรื่องที่ศาลต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ เมื่อฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงจะมาพิจารณาต่อว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่ดินพิพาทหรือไม่ หากฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ที่ 1 ก็ไม่ต้องพิจารณาต่อไปในเรื่องการเช่าและค่าเสียหายอีก จำเลยทั้งสองให้การและนำสืบว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองไม่เคยขายให้โจทก์ที่ 1 ไม่มีการเช่าที่ดินพิพาท อันเป็นการนำสืบไปตามประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 เดิม และขณะเดียวกันก็สืบไปตามประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 และข้อ 2 ใหม่ การกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ภายหลังไม่มีผลต่อการนำสืบและรับฟังข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของจำเลยทั้งสอง การที่ศาลชั้นต้นเพิกถอนการชี้สองสถานเดิมและกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ โดยมีเนื้อหาหรือข้อตามที่ครอบคลุมกว้างขวางขึ้น แต่ประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดใหม่ยังคงมีความหมายรวมอยู่ในประเด็นเดิมจึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทและส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าที่ดินเป็นเงิน 85,258.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายปีละ 71,048.75 บาท หรือเดือนละ 5,920.73 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทตาม น.ส.3 ก. เลขที่ 577, 580, 581, 582 และ 589 ตำบลชอนสมบูรณ์ อำเภอโคกสำโรง (ปัจจุบันคือกิ่งอำเภอหนองม่วง) จังหวัดลพบุรี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 85,258.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินปีละ 42,629.25 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 1,000 บาท แทนโจทก์ทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่าการที่ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงประเด็นข้อพิพาทจากเดิมที่กำหนดว่า
1. จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินและค้างชำระค่าเช่าที่ดินโจทก์หรือไม่ เพียงใด
2. โจทก์บอกเลิกการเช่าที่ดินโดยชอบหรือไม่
3. โจทก์เสียหายหรือไม่ เพียงใด
เป็นประเด็นข้อพิพาทใหม่ว่า
1. ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือไม่
2. จำเลยทั้งสองเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จากโจทก์ที่ 2 และค้างชำระค่าเช่าหรือไม่ และค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดเป็นการกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 183 จำเลยทั้งสองไม่ได้นำสืบหักล้างประเด็นข้อพิพาทใหม่ข้อ 1 ที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือไม่นั้น เห็นว่า จากการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่โดยพิเคราะห์จากข้ออ้างข้อเถียงที่ปรากฏในคำฟ้องโจทก์ทั้งสองและคำให้การของจำเลยทั้งสอง เมื่อคำให้การจำเลยทั้งสองยืนยันว่าที่ดินพิพาททั้ง 5 แปลง เป็นของจำเลยทั้งสองและบุตร จำเลยทั้งสองและบุตรไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่ 1 ไม่มีการเช่าที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 2 ไม่มีสิทธิบอกเลิกการเช่าต่อประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลเพราะไม่มีการเช่า และปฏิเสธเอกสารสัญญาขายที่ดินพิพาทตลอดมา ซึ่งจำเลยทั้งสองได้นำสืบไปตามคำให้การตามประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 เดิม และขณะเดียวกันก็สืบไปตามประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 และข้อ 2 ที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นใหม่ภายหลัง กล่าวคือเป็นการนำสืบยืนยันว่าจำเลยทั้งสองและบุตรยังคงเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงไม่ได้เช่าที่ดินพิพาทจากโจทก์ที่ 2 การกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่ภายหลังไม่มีผลต่อการนำสืบและการรับฟังข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของจำเลยทั้งสองแต่อย่างใดที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 เดิมว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่ดินและค้างชำระค่าเช่าที่ดินโจทก์หรือไม่ เพียงใด กับประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 ที่กำหนดใหม่ว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่ดินพิพาทของโจทก์ที่ 1 จากโจทก์ที่ 2 และค้างชำระค่าเช่าหรือไม่ และค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดนั้น เป็นเรื่องที่ศาลต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 หรือไม่ เมื่อฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 1 จึงจะมาพิจารณาต่อว่าจำเลยทั้งสองเช่าที่ดินพิพาทหรือไม่ หากฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ที่ 1 ก็ไม่ต้องพิจารณาต่อไปในเรื่องการเช่าและค่าเสียหายอีก การที่ศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการชี้สองสถานเดิมและกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่โดยมีเนื้อหาหรือข้อความที่ครอบคลุมกว้างขวางขึ้น แต่ประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดใหม่นี้ยังคงมีความหมายรวมอยู่ในประเด็นเดิม การกำหนดประเด็นข้อพิพาทใหม่จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น…
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share