คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1384/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการว่า จำเลยทั้งสองนำตั๋วแลกเงินของ อ.มาขายลดให้โจทก์ โดยตกลงว่าถ้าโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้จำเลยยอมชำระเงินตามตั๋วคืนให้โจทก์ โจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จึงขอให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ เมื่อจำเลยให้การว่า อ.เป็นผู้ขายตั๋วแลกเงินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน ดังนี้ การที่ศาลล่างฟังว่าจำเลยที่ 2 เชิด ช.เป็นตัวแทนของห้างจำเลยที่ 1 นำตั๋วแลกเงินไปขายลดแก่โจทก์ก็ดี และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ช.ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันเป็นวิธีปฏิบัติของโจทก์ซึ่งเป็นธนาคารในกรณีที่จำเลยผู้เป็นลูกค้าเอาตั๋วแลกเงินของผู้อื่นมาขายลดให้ก็ดี เป็นอำนาจของศาลในการที่จะวินิจฉัยและเชื่อฟังพยานที่คู่ความนำสืบเพียงใด ไม่เป็นการฟังพยานไม่ชอบหรือนอกประเด็น
จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (1) และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น แต่ข้อที่จำเลยฎีกาทั้งสองประการนี้ ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน ทั้งไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ธนาคารโจทก์ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ ห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ ๑ เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารโจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองนำตั๋วแลกเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด อาร์ ไทยเทรดดิ้ง คิดเป็นเงินไทย ๖๔,๘๐๒.๗๖ บาท ขายลดให้ธนาคารโจทก์โดยตกลงว่า ถ้าโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยยอมชำระเงินตามตั๋วคืนให้ และยอมให้โจทก์ตัดบัญชีของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่กับธนาคารเท่ากับจำนวนในตั๋วแลกเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ต่อมาโจทก์เรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จึงตัดบัญชีของจำเลยที่ ๑ คิดเป็นเงิน ๗๒,๒๘๖.๕๙ บาท แต่บัญชีดังกล่าวมีเงินเหลืออยู่เพียง ๗๒๖.๐๑ บาท จำเลยจึงเป็นหนี้ธนาคารโจทก์อยู่ ๗๑,๕๖๐.๔๘ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน ๑๐๒,๓๙๒.๙๙ บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้หนี้จำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๒ ต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยมิได้นำตั๋วแลกเงินพิพาทไปขายลดให้โจทก์ หากแต่ห้างหุ้นส่วนจำกัด อาร์ ไทยเทรดดิ้ง ซึ่งเป็นลูกหนี้จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะชำระหนี้ให้จำเลยจึงนำตั๋วแลกเงินพิพาทไปขายลดให้ธนาคารโจทก์นำเงินที่ขายได้โอนเข้าบัญชีจำเลยเป็นการชำระหนี้ ในการนี้ธนาคารโจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๒ เพิ่งเข้าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๑๒ ก่อนจำเลยที่ ๑ ลงชื่อค้ำประกันดังกล่าว จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว สิทธิเรียกร้องตามตั๋วแลกเงินขาดอายุความแล้ว วัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ ๑ มิได้จดทะเบียนให้ค้ำประกันการใด ๆ ที่จำเลยที่ ๑ ลงชื่อค้ำประกันตั๋วแลกเงินดังกล่าวจึงไม่ผูกพันห้างหุ้นส่วนจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑,๒ ร่วมกันใช้เงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ขายลดตั๋วแลกเงินให้โจทก์ และคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้ค้ำประกัน ข้อต่อสู้ของจำเลยว่า การค้ำประกันอยู่นอกวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจำเลยจึงตกไป ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าขณะขายตั๋ว นายซีเก่ง ผู้จัดการคนเดิมพ้นหน้าที่ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำเลยแล้วนั้น ก็มีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อดังที่ศาลล่างวินิจฉัยไว้แล้วว่า จำเลยได้เชิดให้นายซีเก่งเป็นตัวแทนห้างหุ้นส่วนจำเลย และที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายซีเก่งลงชื่อเป็นผู้ค้ำประกันเป็นวิธีปฏิบัติของธนาคาร เป็นการฟังคำพยานไม่ชอบและนอกประเด็นนั้น เห็นว่า การที่ศาลจะวินิจฉัยและเชื่อฟังพยานที่คู่ความนำสืบเพียงใดนั้นเป็นอำนาจของศาล ตามกรณีคดีนี้ไม่เป็นการฟังคำพยานไม่ชอบหรือนอกประเด็น ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๑) และโจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น ทั้งสองประการนี้ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ จำเลยก็ไม่โต้แย้งคัดค้าน ทั้งไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share