คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11036/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อจะขายกำหนดวันชำระราคาและจดทะเบียนโอนว่าประมาณเดือนตุลาคม 2544 ไม่แน่ชัดว่าเป็นวันใดซึ่งอาจเป็นวันใดวันหนึ่งในเดือนตุลาคม จึงเป็นสัญญาที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน โจทก์จำต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระหนี้ โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระหนี้โดยกำหนดเวลาชำระหนี้พอสมควร และจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวโดยชอบแล้ว การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ในวันกำหนดโดยที่โจทก์เตรียมพร้อมจะชำระหนี้ส่วนของตน จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 387

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 8,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้อง และค่าเสียหายอีกเดือนละ 4,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารออกไปและส่งมอบการครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคืนโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินและบ้านเลขที่ 44/426 หมู่ที่ 10 แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 4,000 บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2544 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปและส่งมอบการครอบครองบ้านและที่ดินแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่าเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อจะขายกำหนดวันชำระราคาและจดทะเบียนโอนว่าประมาณเดือนตุลาคม 2544 ไม่แน่ชัดว่าเป็นวันใด ซึ่งอาจเป็นวันใดวันหนึ่งในเดือนตุลาคม การกำหนดเวลาดังกล่าวภายหลังทำสัญญาประมาณ 4 เดือน เชื่อว่ามาจากต้องรอเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติให้จำเลยซึ่งในข้อนี้โจทก์ก็เบิกความรับว่าจำเลยได้ขอทาสีบ้านให้ดูได้ราคาสูงเพื่อที่ธนาคารจะได้อนุมัติเงินกู้แก่จำเลย เมื่อไม่อาจกำหนดวันแน่นอน สัญญาจะซื้อจะขายพิพาทจึงเป็นสัญญาที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน โจทก์จำต้องบอกกล่าวกำหนดเวลาพอสมควรให้จำเลยชำระหนี้ และได้ความว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยชำระค่าที่ดินและจดทะเบียนโอนในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 โดยส่งหนังสือบอกกล่าวไปยังภูมิลำเนาของจำเลยตามที่ปรากฏในบัตรประจำตัวประชาชนและทะเบียนบ้านของจำเลยกับที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย และมีผู้รับแทนเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2544 เห็นว่า แม้กำหนดเวลาในสัญญาจะซื้อจะขายพิพาทจะไม่แน่นอน แต่ก็เป็นเวลาหลังจากวันทำสัญญาประมาณ 4 เดือน เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าต้องการจะชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นต่อกันไม่เกินกำหนดเวลาดังกล่าว ดังนี้ที่โจทก์กำหนดเวลาให้ชำระหนี้ต่อกันวันที่ 21 พฤศจิกายน 2544 ถือได้ว่าเป็นการกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้ว การที่จำเลยไม่ชำระหนี้ในวันกำหนดโดยที่โจทก์เตรียมพร้อมจะชำระหนี้ส่วนของตน จึงเป็นการที่จำเลยผิดนัดผิดสัญญา ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยดำเนินการขอกู้เงินจากธนาคารไม่ทันเป็นเรื่องที่จำเลยต้องรับผิดชอบเป็นส่วนตัว ยังไม่อาจนำมาอ้างปฏิเสธการชำระหนี้ที่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ทราบเรื่องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ เนื่องจากจำเลยไปพักอาศัยอยู่ที่อื่น เห็นว่า เมื่อหนังสือบอกกล่าวส่งไปยังภูมิลำเนาของจำเลย ก็ถือว่าส่งโดยชอบและบอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว ส่วนที่จำเลยอ้างว่าก่อนถึงกำหนดเวลาบอกกล่าวดังกล่าว โจทก์นำประกาศขอบอกเลิกสัญญาไปติดไว้ที่หน้าบ้านพิพาทเท่ากับว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องปฏิเสธคำถามคำบอกกล่าวอีก เห็นว่า แม้จะมีการปิดประกาศดังกล่าวแต่เห็นได้ว่าโจทก์กระทำเพียงเพื่อมิให้จำเลยเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านอีกต่อไป โดยที่โจทก์ยังถือเอาว่ายังเป็นบ้านของโจทก์ จำเลยยังไม่มีสิทธิเข้าครอบครองซึ่งจำเลยก็เข้าใจเหตุการณ์ขณะนั้นเพราะจำเลยนำการกระทำของโจทก์ที่ไปแจ้งความว่าเป็นความผิดฐานบุกรุก จึงยังไม่พอฟังว่าเป็นการขอบอกเลิกสัญญาตามกฎหมาย เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ย่อมมีสิทธิขอบอกเลิกสัญญาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 การที่จำเลยยังอยู่ในที่ดินและบ้านพิพาทต่อมาหลังเลิกสัญญา เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีสิทธิขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายจากจำเลย และค่าเสียหายที่จำเลยต้องชดใช้แก่โจทก์ตามที่ศาลอุทธรณ์กำหนดมานั้น เหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับแต่เดือนธันวาคม 2544 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1, 500 บาท แทนโจทก์

Share