คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1383/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสามคนสมคบกันมาปล้นทรัพย์ทุกคนมีอาวุธปืนติดตัวมาคนละกระบอก เมื่อขู่บังคับพวกเจ้าทรัพย์ด้วยอาวุธปืนและเก็บทรัพย์ได้แล้ว พวกเจ้าทรัพย์ขัดขืนจึงเกิดต่อสู้กันกับพวกของจำเลยจำเลยที่ 2 ได้ใช้ปืนยิงพวกของเจ้าทรัพย์คนหนึ่งทางข้างหลังถึงแก่ความตาย ดังนี้ เมื่อพวกของเจ้าทรัพย์เข้าต่อสู้กับพวกจำเลย จำเลยทั้งสามได้ใช้ปืนยิงแล้วทุกคน เป็นแต่กระสุนปืนของจำเลยคนอื่นไม่ถูกใคร คงมีแต่จำเลยที่ 2 ยิงถูกพวกเจ้าทรัพย์คนเดียวพฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการตั้งใจที่จะใช้อาวุธปืนที่เตรียมมานั้นประหัตประหารผู้ที่ต่อสู้ขัดขืน เพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์หรือเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การปล้นทรัพย์ หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา จำเลยทุกคนจึงต้องมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 วรรค 6 และ 7 นอกเหนือจากความผิดฐานปล้นทรัพย์ตาม มาตรา 340 วรรคสุดท้ายด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๑ เวลากลางวันจำเลยทั้งสามนี้กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวอีกหลายคนบังอาจร่วมกันปล้นทรัพย์ของนางหนูกลั่น มุสิกะเจริญ นางพิมพ์ คงรัตน์ นางคลิ้ง คงเอียง นางตี่ สารณะ และพลทหารสุนทร ศรีทวี ไปรวมราคาทั้งสิ้น ๒,๑๙๐ บาท โดยในการปล้นนี้จำเลยกับพวกใช้วาจาและอาวุธปืนขู่เข็ญและบังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายวิเชียร ส่งศรีถึงแก่ความตาย โดยเจตนาฆ่าเพื่อความสะดวกในการปล้นทรัพย์เพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การปล้นทรัพย์ และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา เหตุเกิดที่ตำบลเขาชัยสน อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๒๘๘, ๒๘๙, ๘๓ สั่งริบของกลางที่ใช้ในการกระทำผิด และสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๒,๑๙๐ บาท
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคท้าย, ๒๘๘, ๒๘๙ (๖) (๗), ๘๓ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๙ (๖) (๗), ๘๓ ซึ่งเป็นบทที่หนักที่สุดตามมาตรา ๙๐ ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๒,๑๙๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ ของกลางริบ
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ผู้เดียวเป็นผู้ยิงนายวิเชียรจำเลยทั้งสามสมคบกันมาปล้นทรัพย์ ไม่ได้สมคบกันจะมาฆ่านายวิเชียรจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ จึงไม่มีความผิดฐานฆ่านายวิเชียรด้วย พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๐ วรรคสุดท้าย และมาตรา ๒๘๙ (๖) ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ตลอดชีวิตลงโทษประหารชีวิตจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๒๘๙ (๖) ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด และให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๒,๑๙๐ บาทแก่เจ้าทรัพย์ ของกลางริบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า จำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายปล้นทรัพย์รายนี้จริงดังโจทก์นำสืบ ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสามควรมีความผิดตามบทกฎหมายใด คดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสามสมคบกันมาปล้นทรัพย์ทุกคนมีอาวุธปืนติดตัวกันมาคนละกระบอก เมื่อขู่บังคับพวกเจ้าทรัพย์ด้วยอาวุธปืนแล้ว ก็เก็บทรัพย์จากคนที่โดยสารมาในรถครั้นนายไล่และนายไสว ฮึดสู้ เกิดการกอดปล้ำต่อสู้แย่งปืนกันระหว่างนายไล่ นายไสว และจำเลยที่ ๓ นายไสวร้องเรียกให้นายวิเชียรผู้ตายมาช่วย นายวิเชียรวิ่งไปที่หน้ารถนายไล่เข้าเตะจำเลยที่ ๑ ล้มลง ปืนในมือจำเลยที่ ๑ ก็ลั่นขึ้น ๑ นัด แต่ไม่ถูกใคร ทันใดนั้นจำเลยที่ ๒ ก็ใช้ปืนยิงนายวิเชียรทางข้างหลัง เป็นเหตุให้นายวิเชียรถึงแก่ความตาย ที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่า จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ไม่ได้สมคบกันมาเพื่อจะฆ่านายวิเชียรนั้น เห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อนายไล่ นายไสว และนายวิเชียรเข้าต่อสู้กับพวกจำเลย จำเลยทั้งสามได้ใช้ปืนยิงแล้วทุกคน เป็นแต่กระสุนจากปืนของจำเลยที่ ๑ และที่จำเลยที่ ๓ ไม่ถูกใครจำเลยที่ ๒ ยิงถูกนายวิเชียรคนเดียว พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามตั้งใจที่จะใช้อาวุธปืนที่เตรียมมานั้นประหัตประหารผู้ที่ต่อสู้ขัดขืน เพื่อความสะดวกในการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์และเพื่อเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การปล้นทรัพย์หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา จำเลยทุกคนจึงต้องมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๙ (๖) และ (๗)นอกเหนือจากความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสุดท้าย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยทั้งสามตามบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวางมา กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๒,๑๙๐ บาทแก่ผู้เสียหาย ของกลางริบ

Share