แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยจ้างโจทก์ขับรถขนส่งสินค้าโดยโจทก์ต้องมีรถบรรทุกสินค้าของตัวเอง จำเลยจ่ายค่าจ้างให้เฉพาะวันที่ปฏิบัติงานส่งสินค้าให้จำเลยเท่านั้น จึงบ่งบอกว่าจำเลยมุ่งผลสำเร็จของงานให้มีการขนสินค้าไปให้ลูกค้าตามช่วงเวลานั้นจนเสร็จสิ้นไปเป็นสำคัญ อีกทั้งโจทก์จะมาทำงานวันใดก็ได้ตามความสมัครใจ ไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยหากฝ่าฝืนจำเลยมีสิทธิลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ แสดงว่าจำเลยไม่มีอำนาจควบคุมบังคับบัญชาโจทก์ สัญญาจ้างระหว่างจำเลยกับโจทก์จึงเป็นสัญญาจ้างทำของ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,680 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ และค่าชดเชย 55,415 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 29,915 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 27 พฤศจิกายน 2550) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานโดยสมัครงาน ผ่านการทดลองงาน มีผู้ค้ำประกันการทำงาน จำเลยหักเงินค่าจ้างส่งสำนักงานประกันสังคมทุกเดือน โจทก์จึงเป็นลูกจ้างจำเลย เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการจ้างแรงงานหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า ผู้ที่มารับจ้างขนส่งสินค้าให้แก่จำเลยจะได้รับค่าจ้างขนส่งสินค้าเป็นรายเที่ยวเฉพาะวันที่มีการขนส่งสินค้าเท่านั้น หากวันใดไม่มีการขนส่งสินค้า ผู้รับจ้างก็จะไม่ได้รับค่าจ้างแต่อย่างใด โดยจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าจ้างในวันนั้น ๆ ค่าจ้างดังกล่าวก็มิได้คิดกันเป็นรายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน ผู้รับจ้างขนส่งสินค้าไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด ค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี ดังเช่นพนักงานอื่นที่เป็นลูกจ้างของจำเลย ผู้รับจ้างจะต้องมีพาหนะที่ใช้สำหรับการขนส่งสินค้าโดยจำเลยมิได้เป็นผู้จัดหาและผู้รับจ้างจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าน้ำมันรถ ค่าบำรุงรักษารถ ค่าอะไหล่และอุปกรณ์เกี่ยวกับรถเองทั้งสิ้น ผู้รับจ้างมิได้อยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของบริษัทจำเลยดังเช่นพนักงานอื่น เมื่อผู้รับจ้างขนส่งสินค้าหยุดงานหรือไม่มาส่งสินค้าเพราะเหตุของการเจ็บป่วยก็ดี ไปทำกิจธุระใด ๆ ก็ดี ผู้รับจ้างขนส่งสินค้าก็ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันที่มิได้มาทำการส่งสินค้าและหยุดงานไปนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ในการขนส่งสินค้านั้น โจทก์จะต้องมีรถบรรทุกสินค้าของตนเอง จำเลยจะจ่ายค่าจ้างให้เฉพาะวันที่ได้ปฏิบัติงานส่งสินค้าให้แก่จำเลยเท่านั้น วันที่ไม่ได้ปฏิบัติงานจะไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้าง การจ้างงานขนส่งสินค้าเช่นนี้จึงมีลักษณะบ่งบอกถึงจำเลยมุ่งผลสำเร็จของงาน คือให้มีการขนส่งสินค้าไปให้ลูกค้าตามช่วงเวลานั้นจนสำเร็จเสร็จสิ้นไปเป็นสำคัญ หาได้มุ่งถึงแรงงานที่จำเลยจะได้รับจากการขับรถของโจทก์ไม่ นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในการทำงานนั้นโจทก์จะมาทำงานในวันใดก็ได้ตามความสมัครใจ แสดงว่าจำเลยไม่มีอำนาจควบคุมบังคับบัญชาโจทก์ว่าโจทก์จะต้องมาทำงานวันใดหรือเวลาใด โจทก์จะมาทำงานหรือไม่ขึ้นอยู่กับความต้องการของโจทก์เอง ไม่มีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานว่าโจทก์จะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยและหากโจทก์ฝ่าฝืนไม่ยอมปฏิบัติตามจำเลยมีสิทธิลงโทษทางวินัยแก่โจทก์ได้ ซึ่งอำนาจควบคุมบังคับบัญชาลูกจ้างเป็นสาระสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างทำของ หาใช่เป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่ จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง