แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ข้อตกลงที่จำเลยยอมให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินกู้ค้างชำระทั้งหมดหากจำเลยพ้นจากการเป็นพนักงานจะมีผลบังคับได้ แต่หลังจากจำเลยลาออกแล้วโจทก์ก็ยังรับผ่อนชำระเงินกู้จากจำเลยมาตลอดโดยจำเลยไม่เคยผิดนัด แสดงว่าโจทก์ได้สละสิทธิที่จะเรียกเงินกู้ค้างชำระทั้งหมดด้วยเหตุจำเลยพ้นสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์โดยปริยาย นอกจากนั้นการกู้เงินของจำเลยเป็นการกู้เงินสวัสดิการของพนักงานเพื่อที่อยู่อาศัยโดยมีที่ดินพร้อมบ้านจำนองเป็นประกัน ซึ่งหากจำเลยผิดนัดโจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้โดยไม่เสียหายอยู่แล้ว การลาออกของจำเลยก็มิได้เกิดจากการกระทำผิดหรือกระทำโดยมิชอบของจำเลย แต่เป็นเรื่องสุขภาพที่ฝ่ายโจทก์ขอให้จำเลยลาออกเอง ทั้งหลังจากลาออกแล้วจำเลยยังมีรายได้เพียงพอแก่การผ่อนชำระเงินกู้อีก ดังนั้น ที่โจทก์ใช้ทั้งสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินกู้ทั้งหมดในขณะเดียวกันก็รับการผ่อนชำระของจำเลยไปเรื่อยๆ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตน บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต” เมื่อการใช้สิทธิของโจทก์ไม่สุจริตอันไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว โจทก์ก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.75 ต่อปี ของต้นเงิน 1,087,937.75 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินจำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 1,087,937.75 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,020,226.40 บาท และอัตราร้อยละ 3.25 ต่อปี ของต้นเงิน 67,711.35 บาท นับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2548 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2548 และอัตราร้อยละ 7.25 ต่อปี ของต้นเงิน 1,087,937.75 บาท นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2548 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 39525 ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 7,500 บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างชำระทั้งหมดและบอกกล่าวบังคับจำนองโดยจำเลยยังไม่ผิดนัดได้หรือไม่ เห็นว่าแม้ข้อตกลงที่จำเลยยอมให้โจทก์มีสิทธิเรียกเงินกู้ค้างชำระทั้งหมดหากจำเลยพ้นจากการเป็นพนักงานจะมีผลบังคับได้ แต่หลังจากจำเลยลาออกแล้วโจทก์ก็ยังรับผ่อนชำระเงินกู้จากจำเลยมาตลอดโดยจำเลยไม่เคยผิดนัด แสดงว่าโจทก์ได้สละสิทธิที่จะเรียกเงินกู้ค้างชำระทั้งหมดด้วยเหตุจำเลยพ้นสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์โดยปริยาย นอกจากนั้นจากคำเบิกความของนางสาวดาริกา เจ้าหน้าที่สินเชื่อของโจทก์ยังได้ความว่าการกู้เงินของจำเลยรายนี้ เป็นการกู้เงินสวัสดิการของพนักงานเพื่อที่อยู่อาศัยโดยมีที่ดินพร้อมบ้านจำนองเป็นประกัน ซึ่งหากจำเลยผิดนัดโจทก์ย่อมมีสิทธิบังคับจำนองเพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้โดยไม่เสียหายอยู่แล้ว การลาออกของจำเลยก็มิได้เกิดจากการกระทำผิดหรือกระทำโดยมิชอบของจำเลย แต่เป็นเรื่องสุขภาพที่ฝ่ายโจทก์ขอให้จำเลยลาออกเองทั้งหลังจากลาออกแล้วจำเลยก็เบิกความว่าจำเลยยังมีรายได้จากการช่วยพี่สาวทำอาหารส่งกองถ่ายภาพยนตร์เดือนละ 12,000 บาท ซึ่งเพียงพอแก่การผ่อนชำระเงินกู้เดือนละ 6,950 บาทได้ ดังนั้น ที่โจทก์ใช้ทั้งสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินกู้ทั้งหมดในขณะเดียวกันก็รับการผ่อนชำระของจำเลยไปเรื่อย ๆ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ในการใช้สิทธิแห่งตน…บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต” เมื่อการใช้สิทธิของโจทก์ไม่สุจริตอันไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายแล้ว โจทก์ก็ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาบังคับให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ