แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์นำยึดเรือนพิพาทออกขายทอดตลาดให้ผู้ซื้อรื้อถอนเอาไปก่อนมีการรื้อถอนสภาพของเรือนย่อมเป็นอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้ปลูกสร้างไว้ติดกับที่ดินจึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา224,248.
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย และให้จำเลยส่งมอบรถแทรกเตอร์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวโจทก์ขอให้บังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ 1 หลัง เลขที่ 026 หมู่ที่ 1 ตำบลเมืองอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ และเครื่องรับโทรทัศน์ขาวดำ1 เครื่อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เรือนพิพาทและเครื่องรับโทรทัศน์ที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้อง ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดทั้ง 2 รายการ
โจทก์ให้การว่า ทรัพย์ทั้ง 2 รายการที่โจทก์นำยึดเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว…คงมีปัญหาเฉพาะเรือนพิพาทที่โจทก์นำยึดโดยโจทก์แก้ฎีกาว่า เรือนพิพาทโจทก์นำยึดมาเพื่อทำการขายในลักษณะเป็นสังหาริมทรัพย์ และราคา20,000 บาท ซึ่งผู้ร้องฎีกาว่าเป็นของผู้ร้องอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามฎีกานั้น เห็นว่า แม้เรือนพิพาทจะปลูกอยู่ในที่ดินไม่มีหลักฐานทางทะเบียนและอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่โจทก์นำยึดขายทอดตลาดเพื่อให้ผู้ซื้อรื้อถอนเอาไป แต่สภาพของเรือนพิพาทก่อนมีการรื้อถอนย่อมเป็นอสังหาริมทรัพย์เพราะได้ปลูกสร้างไว้ติดกับที่ดิน จึงเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์และฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224, 248 ตามลำดับ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าคดีรับฟังไม่ได้ว่าเรือนพิพาทเป็นของผู้ร้อง…”
พิพากษายืน.