แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยแจ้งความตำรวจว่า โจทก์ ทำรั้วรุกล้ำเข้าไปในเขตบ้านจำเลยนั้น หากความจริงปรากฏว่าโจทก์ได้กั้นรั้วเสียเช่นนี้ จำเลยย่อมเสียสิทธิในการใช้ และเข้าใจว่าจำเลยถูกกลั่นแกล้งขัดขวางสิทธิ ฉะนั้น จะว่าจำเลยแจ้งความเท็จมีความผิดในทางอาญายังไม่ได้
ย่อยาว
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแจ้งความเท็จว่าโจทก์ทำรั้วรุกล้ำเจ้าไปในเขตบ้าน ของจำเลย เจ้าพนักงานจึงจับโจทก์ไปกักขัง ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การว่าไม่ได้ทำผิด โจทก์กั้นรั้วไม่ให้จำเลยออกไปสู่ท่าน้ำดังที่เคยมา เป็นการรบกวนสิทธิของจำเลยๆ จึงไปแจ้งเจ้าพนักงาน
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยไปแจ้งความว่า โจทก์ทำรั้วรุกล้ำเข้าไปในเขตบ้านของจำเลยนั้น ความจริงก็ปรากฏว่าทางโจทก์ได้กั้นรั้วขึ้นตรงที่ ๆ จำเลยทำรายตากผ้าจริง และตรงบริเวณ แถบที่นี้ก็เป็นด้านหลังห้องที่จำเลยเช่า ซึ่งทางโจทก์เองก็เคยผ่อนผันให้จำเลยได้ใช้สิทธิทำรายตากผ้าได้ เดินผ่านไปใช้สะพานท่าน้ำริมคลองได้ ดังนี้ จำเลยย่อมน่าจะเข้าใจโดยสุจริตใจได้ว่า เมื่อถูกโจทก์มาทำรั้วกั้นเสียเช่นนี้ จำเลยก็ย่อมเสียสิทธิดในการใช้ที่แถบนั้น แม้ในสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยจะไม่ได้กล่าวระบุไว้ถึงการให้เช่าห้องแถวรวมไปถึงที่ดินบริเวณด้านหลังห้องเช่าของจำเลยก็จริง แต่พฤติการณ์ที่โจทก์เองก็เคยยินยอมผ่อนผันให้จำเลยได้ใช้สิทธิในที่ดินหลังห้องแถวของจำเลยด้วยดีตลอดมาจนกระทั่งโจทก์มาริกั้นรั้ว เพื่อไม่ให้จำเลยได้มีโอกาสใช้ที่ดินแถบนั้น จะไม่ให้จำเลยเข้าใจได้อย่างไรว่าจำเลยถูกกกลั่นแกล้งขัดขวางสิทธิของเขา และเมื่อจำเลยไปแจ้งความต่อตำรวจมีข้อความว่า โจทก์กั้นรั้วรุกล้ำเขตบ้านของจำเลย จะว่าจำเลยแจ้งความเท็จมีความผิดในทางอาญาได้อย่างไร
พิพากษายืน