แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา377เงินมัดจำเป็นเงินประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญาซึ่งตามมาตรา378กำหนดไว้ว่าหากผู้วางมัดจำผิดสัญญาก็ให้ริบหากผู้รับมัดจำผิดสัญญาก็ให้ส่งคืนเว้นแต่จะได้ตกลงไว้เป็นอย่างอื่นทั้งนี้มิได้ถือเอาความเสียหายของผู้รับมัดจำมาเป็นหลักประกอบการพิจารณาในการริบมัดจำส่วนเงินเบี้ยปรับตามมาตรา379เป็นจำนวนค่าเสียหายที่คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าในเมื่อมีการไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามสัญญาและการริบเบี้ยปรับมาตรา383ให้ถือเอาทางได้ทางเสียของเจ้าหนี้เป็นหลักในการพิจารณาว่าจะริบเบี้ยปรับทั้งหมดหรือจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรจึงเห็นได้ว่าเงินมัดจำกับเงินเบี้ยปรับมีลักษณะไม่เหมือนกันมัดจำจึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับศาลจึงไม่มีอำนาจลดเงินมัดจำลงได้อย่างเบี้ยปรับ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินจากจำเลยราคา 815,366 บาทโจทก์ชำระค่าที่ดินให้แก่จำเลยแล้วเป็นเงิน 90,000 บาท การซื้อขายที่ดินดังกล่าวแม้จะได้ทำเป็นหนังสือ แต่ไม่มีข้อความตอนใดแสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยประสงค์จะให้สัญญาซื้อขายได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเป็นโมฆะ ดังนั้นเงินที่จำเลยได้รับไป จึงเป็นการได้ไปโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ทำให้โจทก์เสียเปรียบอีกทั้งที่ดินดังกล่าวจำเลยได้โอนขายให้บุคคลอื่นแล้ว จำเลยจึงต้องคืนเงินที่ได้รับไปแก่โจทก์ในฐานะลาภมิควรได้ โจทก์ทวงถามให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยได้คืนให้แก่โจทก์เพียง 1,500 บาทส่วนเงินที่เหลือจำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงต้องคืนเงินให้แก่โจทก์จำนวน 88,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 93,477 บาทพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์และจำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันจริง และในวันทำสัญญาโจทก์ได้มอบเงินมัดจำค่าซื้อที่ดินให้แก่จำเลยก่อนจำนวน 90,000 บาท ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 725,366 บาท โจทก์สัญญาว่าจะชำระให้แก่จำเลยพร้อมทั้งจะได้จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ต่อไปซึ่งในขณะทำสัญญานั้น ทั้งโจทก์และจำเลยต่างก็มีเจตนาที่จะซื้อขายที่ดินกันสัญญาที่โจทก์ทำกับจำเลยจึงสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนเงิน53,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินจากจำเลยในราคา 815,366 บาท โจทก์ได้วางมัดจำให้จำเลยไว้90,000 บาท ต่อมาโจทก์ผิดสัญญาไม่ซื้อที่ดินจากจำเลย ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยมีว่า ศาลมีอำนาจลดเงินมัดจำลงเป็นจำนวนพอสมควรโดยถือว่าเงินมัดจำมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 377 เงินมัดจำเป็นเงินประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญา ซึ่งตามมาตรา 378 กำหนดไว้ว่าหากผู้วางมัดจำผิดสัญญาก็ให้ริบ หากผู้รับมัดจำผิดสัญญาก็ให้ส่งคืน เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ทั้งนี้มิได้ถือเอาความเสียหายของผู้รับมัดจำมาเป็นหลักประกอบการพิจารณาในการริบมัดจำ ส่วนเงินเบี้ยปรับนั้นตามมาตรา 379 เป็นจำนวนค่าเสียหายที่คู่สัญญากำหนดกันไว้ล่วงหน้าในเมื่อมีการไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องตามสัญญา และในการริบเบี้ยปรับ มาตรา 383 ก็ให้ถือเอาทางได้ทางเสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายเป็นหลักในการพิจารณาว่าจะริบเบี้ยปรับทั้งหมดหรือจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควร จึงเห็นได้ว่าเงินมัดจำกับเงินเบี้ยปรับมีลักษณะคนละอย่างที่ไม่เหมือนกัน มัดจำจึงไม่มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ศาลจึงไม่มีอำนาจลดเงินมัดจำลงได้อย่างเบี้ยปรับ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ซื้อที่ดินจากจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำทั้งหมด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาลดมัดจำให้โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง