คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ชักชวนพนักงานของจำเลยให้ไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกับจำเลย โดยกล่าวลอย ๆ ไม่มีข้อเสนอที่แน่นอน ผู้ที่ถูกชักชวนก็มิได้ลาออกไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น และไม่ปรากฏว่าจำเลยเสียหายการกระทำของโจทก์จึงไม่ถึงขั้นเป็นการสนทนาให้ร้ายเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของจำเลยหรือดำเนินการแข่งขันกับจำเลยซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย มิใช่การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยกรณีที่ร้ายแรงและไม่ถือว่าโจทก์กระทำการอื่นไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปถูกต้องและสุจริตด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิดและไม่มีเหตุผลอันสมควร ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ละทิ้งงานในหน้าที่ไปชักชวนพนักงานของจำเลยไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นที่บริหารโดยคณะบุคคลที่เป็นอดีต ผู้บริหารงานของจำเลย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ โดยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชยและค่าเสียหายให้โจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบให้เห็นว่าโจทก์ละทิ้งหน้าที่ โจทก์ไปพูดคุยกับพนักงานของจำเลยโดยชักชวนให้ไปทำงานที่บริษัทที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาไม่ได้ระบุว่าบริษัทอะไร ตำแหน่งอะไร ค่าจ้างเท่าใด เป็นการกล่าวขึ้นลอย ๆ โดยไม่มีข้อเสนอที่แน่นอน และการลาออกเป็นสิทธิเฉพาะตัวของพนักงานแต่ละคนที่จะลาออกเมื่อใดก็ได้ การชักชวนเช่นนั้นจึงไม่ผิดระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน และปรากฏว่าผู้ที่ถูกชักชวนไม่ได้ลาออกไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น จำเลยยังไม่ได้รับความเสียหาย ถือไม่ได้ว่าโจทก์จงใจทำให้จำเลยเสียหายดำเนินกิจการแข่งขันกับจำเลย นอกจากนี้จำเลยนำสืบไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยแก่โจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์พูดคุยกับพนักงานของจำเลย เรื่องไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นที่ประกอบกิจการลักษณะเดียวกับจำเลยนั้น ย่อมไม่เป็นที่ไว้วางใจของจำเลยที่จะให้ทำงานอยู่ต่อไป จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย เข้าทำงานตั้งแต่วันที่ 10กรกฎาคม 2533 ตำแหน่งวิศวกรประจำส่วนส่งเสริมการผลิตได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 16,000 บาท จ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือนจำเลยเลิกจ้าง โจทก์เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2534
จำเลยอุทธรณ์ข้อแรกว่า การที่โจทก์ชักชวนพนักงานไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น แม้พนักงานจะไม่ลาออกไปตามที่โจทก์ชักชวนก็ถือว่าเป็นการกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานของจำเลย ข้อ 35.10 และแม้การกระทำของโจทก์ยังไม่เป็นการจงใจทำให้จำเลยเสียหาย แต่เป็นการทำผิดหน้าที่และฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทำงานอันเป็นกรณีร้ายแรง ข้อ 35.11พิเคราะห์แล้ว ตามคู่มือผู้ปฏิบัติงานของจำเลยเอกสารหมาย ล.10หมวดที่ 8 วินัยและโทษทางวินัย ข้อ 35.10 ระบุว่า “ปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อบริษัทฯ
(1) สนทนาให้ร้าย เป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ และเสื่อมเสียชื่อเสียง และภาพพจน์ของบริษัทฯ
(2) ดำเนินกิจการแข่งขันกับบริษัทฯ”
ข้อ 35.11 ระบุว่า “กระทำความผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47
(1) ทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่บริษัทฯ หรือผู้บังคับบัญชา
(2) จงใจทำให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหาย
(3) ฝ่าฝืนข้อบังคับ หรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงาน หรือคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับบัญชาและบริษัทฯ ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีร้ายแรงผู้บังคับบัญชาไม่จำต้องตักเตือน” เห็นว่า การที่โจทก์ชักชวนพนักงานของจำเลยให้ไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นที่ประกอบกิจการอย่างเดียวกับจำเลย โดยกล่าวลอย ๆ ไม่มีข้อเสนอที่แน่นอน และผู้ที่ถูกใช้ชักชวนดังกล่าวมิได้ลาออกไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นการที่โจทก์ชักชวนและไม่ปรากฏว่าจำเลยเสียหาย การกระทำของโจทก์จึงไม่ถึงขั้นเป็นการสนทนาให้ร้ายเป็นผลให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจของจำเลยหรือดำเนินกิจการแข่งขันกับจำเลย ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อจำเลย ตามคู่มือผู้ปฏิบัติงานของจำเลย ข้อ 35.10 และไม่ใช่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยในข้อที่ร้ายแรงตามข้อ 35.11 แต่อย่างใด
จำเลยอุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 ประกอบกับการที่โจทก์มีตำแหน่งหน้าที่เป็นวิศวกรประจำส่วนส่งเสริมการผลิตจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต รักษาผลประโยชน์ของจำเลย การที่โจทก์ใช้ตำแหน่งไปชักชวนพนักงานจำเลยไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นเป็นการกระทำอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต พิเคราะห์แล้วเห็นว่าแม้โจทก์มีตำแหน่งเป็นวิศวกรส่วนส่งเสริมการผลิตจะได้ชักชวนพนักงานไปทำงานที่สถานประกอบการอื่นก็จริง แต่การชักชวนไม่เป็นผลเพราะผู้ที่ถูกชักชวนมิได้ลาออกไปทำงานที่สถานประกอบการอื่น อันจะทำให้จำเลยเสียหาย เพียงเท่านี้ยังไม่ถือว่าโจทก์กระทำการไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตแต่อย่างใด”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระดอกเบี้ยสำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share