คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้โจทก์ จำเลย และ ย. ซึ่งเป็นบิดาของจำเลย จะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1357 ว่าผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากันก็ตามแต่ข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวไม่ใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดโจทก์สามารถนำสืบหักล้างเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อพฤติการณ์แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลยโดย ย. เพียงแต่มีชื่อร่วมในโฉนดที่ดินพิพาทเพื่อการเสนอธนาคารขออนุมัติกู้เงิน ย. จึงหาได้มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมแต่อย่างใดไม่ โจทก์มีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสกึ่งหนึ่ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ ให้จำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 375,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์หนึ่งในสามเป็นเงิน 250,000 บาทโจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์กึ่งหนึ่ง ดังนี้ทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 125,000 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลจากทุนทรัพย์ดังกล่าว และแม้ไม่เกินสองแสนบาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายจดทะเบียนสมรส ณ สำนักงานทะเบียนอำเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2525 มีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ เด็กชายธนพล บุญมาก และเด็กชายนวภพ บุญมาก ต่อมาจำเลยประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงจนทำให้โจทก์ไม่อาจจะทนต่อความประพฤติของจำเลยได้ กล่าวคือปี 2535 จำเลยยกย่องเลี้ยงดูนางทิพย์วรรณ พลอยขาว อย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนทั่วไปว่าเป็นภริยาของจำเลย และมีบุตรด้วยกัน1 คน คือ เด็กชายเจนณรงค์ พลอยขาว อีกทั้งจำเลยจดทะเบียนรับรองว่าเด็กชายเจนณรงค์เป็นบุตรของตน นอกจากนี้จำเลยยังยกย่องและเลี้ยงดูหญิงอื่นอีก 2 คน ว่าเป็นภริยาของตน คือนางเจริญศรี จันทร์กอง และนางจำเนียรไม่ทราบนามสกุลเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2540 จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กาย และทำลายทรัพย์สินส่วนตัวของโจทก์หลายรายการ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2540 จำเลยข่มขู่ผู้เช่าบ้านเลขที่ 57/4 หมู่ที่ 19 ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยร่วมกันเช่าซื้อมาตั้งแต่ปี 2528 ว่าให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าแก่จำเลยเพียงผู้เดียว จำเลยละทิ้งโจทก์ไปมีภริยาคนใหม่หลายครั้งติดต่อกันโดยมิได้ให้ความอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเป็นเวลานานตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา โจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยอีกต่อไป ขอให้พิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าต่อทางราชการ ถ้าเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นหลักฐานการจดทะเบียนหย่าต่อทางราชการฝ่ายเดียว โดยให้บุตรทั้งสองอยู่ในความอุปการะของโจทก์ฝ่ายเดียว ให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพและค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์กับบุตรทั้งสองเดือนละ 8,000 บาทจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ ให้แบ่งสินสมรส คือบ้านและที่ดินราคา 750,000 บาท พร้อมทั้งส่งคืนรถยนต์หมายเลขทะเบียน7 ช-4874 กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้งานได้

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยยกย่องนางทิพย์วรรณพลอยขาว เสมือนเป็นภริยาแต่อย่างใด แต่เนื่องจากขณะที่นางทิพย์วรรณคลอดเด็กชายเจนณรงค์ พลอยขาว นางทิพย์วรรณไม่มีคู่สมรสและไม่มีรายได้จะเลี้ยงตนเองและบุตร จึงขอร้องให้จำเลยช่วยเหลือ จำเลยเห็นแก่อนาคตของเด็กจึงยอมรับรองว่าเป็นบุตรของจำเลย ต่อมานางทิพย์วรรณทอดทิ้งเด็กชายเจนณรงค์ให้อยู่ในความดูแลของจำเลย โดยให้พักอาศัยอยู่รวมกับโจทก์และบุตร แล้วจำเลยส่งเด็กชายเจนณรงค์ไปอยู่กับบิดาของจำเลยคือนายเย็น บุญมาก โจทก์ก็รับทราบและเห็นชอบด้วย โจทก์ทราบถึงการที่จำเลยรับเด็กชายเจนณรงค์เป็นบุตรตั้งแต่ปี 2535 จนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 6 ปีแล้ว จึงมิใช่เป็นเหตุที่โจทก์จะนำมาอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่า เพราะโจทก์ได้ให้อภัยจำเลยแล้ว จำเลยเคยเป็นหุ้นส่วนกับนางเจริญศรี จันทร์กอง เพื่อค้าขายเครื่องสำอางแต่เลิกหุ้นส่วนกันตั้งแต่ปี 2531 แล้ว และจำเลยไม่เคยติดต่อกับนางเจริญศรีอีกเลยจำเลยไม่เคยแต่งงานกับนางจำเนียรที่จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 19ธันวาคม 2540 โจทก์กับจำเลยมีปากเสียงกันเรื่องเกี่ยวกับบุตรซึ่งโจทก์เป็นคนปากร้ายทำให้จำเลยบันดาลโทสะและมีการผลักกันทำให้โจทก์ล้มลง ซึ่งไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงตามที่โจทก์กล่าวอ้างนายเย็นบิดาของจำเลยตกลงซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 41984 ตำบลคลองหนึ่ง (คลอง 1 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี(ธัญบุรี) เพื่อปลูกสร้างบ้านอยู่อาศัยแต่ไม่มีเงินพอ จึงขอให้โจทก์และจำเลยลงชื่อร่วมกันเพื่อกู้เงินจากธนาคาร ส่วนการปลูกสร้างบ้านจนแล้วเสร็จนายเย็นเป็นผู้ดำเนินการทั้งสิ้นเมื่อปลูกสร้างบ้านเสร็จนายเย็นยอมให้นำบ้านออกให้เช่าเพื่อนำรายได้ให้โจทก์และจำเลยใช้จ่ายและผ่อนส่งธนาคาร แต่โจทก์ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายจำเลยและนายเย็นเห็นว่าหากปล่อยให้โจทก์จัดการต่อไปจะทำให้ได้รับความเสียหายจึงเข้าไปดูแลบ้านเช่าเอง โดยแจ้งให้ผู้เช่านำเงินมาชำระแก่จำเลยและจำเลยนำเงินดังกล่าวผ่อนชำระให้แก่ธนาคาร จำเลยมิได้ละทิ้งโจทก์และแยกกันอยู่กับโจทก์การที่โจทก์และจำเลยทำบันทึกแยกกันอยู่เป็นความต้องการของโจทก์โดยโจทก์อ้างว่าเพื่อความสะดวกในการเบิกค่าเล่าเรียนบุตรและค่ารักษาพยาบาลซึ่งข้อเท็จจริงโจทก์และจำเลยยังคงอยู่ด้วยกันตลอดมา รถยนต์หมายเลขทะเบียน 7 ช-4874กรุงเทพมหานคร เป็นทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรสจึงมิใช่สินส่วนตัวของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลย ให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายธนพล บุญมาก และเด็กชายนวภพ บุญมาก บุตรผู้เยาว์ทั้งสองเพียงผู้เดียว ให้จำเลยจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์คนละ 2,000 บาท ต่อเดือนรวมเดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองอายุ 10 ปี หลังจากนั้นจ่ายคนละ 2,500 บาท ต่อเดือนรวมเดือนละ 5,000 บาท จนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองอายุ 15 ปี และหลังจากนั้นจ่ายคนละ 3,000 บาท ต่อเดือน รวมเดือนละ 6,000บาท จนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองบรรลุนิติภาวะ ให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 41984 ตำบลคลองหนึ่ง (คลอง 1 ตก) อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และรถยนต์หมายเลขทะเบียน 7 ช-4874 กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งหากแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งให้โจทก์กึ่งหนึ่งคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยกเสีย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินตามโฉนดเลขที่ 41984 ตำบลคลองหนึ่ง (คลอง 1 ตก) อำเภอคลองหลวงจังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี) พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ตามส่วนหรือจำนวนหนึ่งในสามของทรัพย์สินดังกล่าว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 41984 ตำบลคลองหนึ่ง(คลอง 1 ตก) อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี (ธัญบุรี)พร้อมบ้านเลขที่ 57/4 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสที่โจทก์จะมีสิทธิขอแบ่งเพียงใด โจทก์เบิกความว่าโจทก์และจำเลยร่วมกันซื้อที่ดินและบ้านพิพาท โดยขณะนั้นโจทก์มีเงินเดือนเพียง 2,765 บาท เมื่อรวมกับเงินเดือนของจำเลยแล้วก็ยังมีจำนวนเงินไม่พอที่ธนาคารจะยินยอมให้กู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้านในราคา 300,000 บาท โจทก์จึงไปขอร้องให้นายเย็นบุญมาก บิดาจำเลยร่วมลงชื่อเป็นผู้กู้ยืมอีกคนหนึ่งเพื่อเสนอธนาคารขออนุมัติกู้เงิน ความจริงแล้วโจทก์กับจำเลยเพียงสองคนเท่านั้นที่เป็นผู้ชำระหนี้แก่ธนาคาร ส่วนบิดาจำเลยเป็นเพียงแต่มีชื่อร่วมเท่านั้น ซึ่งในเรื่องนี้นายเย็นซึ่งมาเบิกความเป็นพยานจำเลยก็ยอมรับว่าในการผ่อนส่งเงินที่กู้ธนาคารนั้นโจทก์และจำเลยเป็นผู้ช่วยกันผ่อนส่งโดยนายเย็นมิได้เกี่ยวข้องด้วย และการทำสัญญาว่าจ้างสร้างบ้านพิพาทโจทก์และจำเลยเป็นผู้ชำระค่าก่อสร้าง ส่วนนายเย็นมิได้ชำระเงินแต่อย่างใด อีกทั้งโจทก์และจำเลยไม่เคยนำค่าเช่าห้องพักไปแบ่งให้แก่นายเย็นคำเบิกความของนายเย็นเป็นการเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่านายเย็นเพียงแต่มีชื่อร่วมในโฉนดที่ดินพิพาทเท่านั้น พฤติการณ์แสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า ที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของโจทก์และจำเลย แม้โจทก์จำเลยและนายเย็นจะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1357 ว่า ผู้เป็นเจ้าของรวมกันมีส่วนเท่ากันก็ตาม แต่ข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าวก็ไม่ใช่เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาด โจทก์สามารถนำสืบหักล้างเปลี่ยนแปลงได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมที่ดินและบ้านพิพาทเท่านั้น นายเย็นหาได้มีส่วนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมแต่อย่างใดไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสกึ่งหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์มีสิทธิในที่ดินและบ้านพิพาทเพียงหนึ่งในสามนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

อนึ่ง ที่ดินและบ้านพิพาทมีราคา 750,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์กึ่งหนึ่งเป็นเงิน 375,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยแบ่งแก่โจทก์หนึ่งในสามเป็นเงิน 250,000 บาท โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์กึ่งหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ทุนทรัพย์พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 125,000 บาท แม้ไม่เกินสองแสนบาทก็ไม่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงเพราะเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลจำนวน 3,125 บาทที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลจากโจทก์เป็นเงิน 18,750 บาทเกินมาจำนวน 15,625 บาท จึงให้คืนแก่โจทก์

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่โจทก์เสียเกินมาจำนวน 15,625 บาทแก่โจทก์

Share