แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีไปกู้เงินโจทก์โดยภรรยามิได้รู้เห็นยินยอมหรือรับประโยชน์ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดทรัพย์ที่เป็นสินสมรสระหว่างสามีภรรยานั้นมาขายทอดตลาดได้เงินสุทธิเท่าใด ภรรยาก็มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากเงินสุทธิที่ได้จากการขายทอดตลาดนั้นด้วย
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า โจทก์ยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีผู้ร้องมาขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินใช้หนี้ ได้เงินสุทธิ 9,357.50 บาท แต่หนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 นั้น ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์ด้วย ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินสมรส จึงขอแบ่งส่วนของผู้ร้องครึ่งหนึ่ง
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องรู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1 เอาเงินของโจทก์ไปใช้สอยร่วมกัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้แบ่งเงินรายนี้ให้แก่ผู้ร้องครึ่งหนึ่ง เป็นเงิน 4,678.75 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 และผู้ร้องเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ได้ยึดสินสมรสของจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องมาขายทอดตลาดได้เงินสุทธิ 9,357.50 บาท เพื่อใช้หนี้เงินซึ่งจำเลยที่ 1 กู้ไปและทำสัญญาประนีประนอมยอมความใช้ให้โจทก์ดังนั้น เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจึงเป็นสินสมรสที่เป็นส่วนของผู้ร้อง 9,678.75 บาท เห็นว่า ข้อเท็จจริงเท่าที่ฟังได้ในเบื้องต้นเพียงว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป จึงยังไม่พอจะฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นยินยอมและเอาเงินไปใช้สอยร่วมกัน หนี้ที่จำเลยที่ 1กู้โจทก์จึงไม่ใช่หนี้ร่วมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482ที่ผู้ร้องจะต้องรับผิดใช้หนี้ร่วมด้วย จึงจะเอาใช้จากสินสมรสส่วนของผู้ร้องดัง มาตรา 1480 มิได้
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์