คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1374/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่วิวาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้ ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์จำเลยโต้เถียงครอบครองกันเป็นที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินที่โจทก์ชี้ว่าเป็นของโจทก์ มีเนื้อที่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งหมดที่โจทก์ว่าเป็นของโจทก์ ดังนี้ ที่ดินที่พิพาทกันจึงไม่ใช่ที่ดินทั้งแปลงที่โจทก์ตีราคาไว้ 4,000 บาท แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ให้คู่ความตีราคาส่วนที่พิพาทกันไว้ ก็พอกำหนดได้ว่าที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 2,000 บาทโจทก์เรียกค่าเสียหายอีก 1,200 บาท ทุนทรัพย์ในคดีจึงไม่เกิน 5,000 บาท โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 5867 ราคา 4,000 บาท จำเลยได้ใช้ให้ผู้อื่นเข้าไปตัดฟันต้นไม้เป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน 1,200 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินของโจทก์ และใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า ต้นไม้อยู่ในที่ดินโฉนดที่ 5866 ของจำเลยไม่ใช่ของโจทก์ต้นไม้ที่จำเลยให้บุตรตัดราคาไม่เกิน 100 บาท โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้อง และฟ้องร้องโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ต้นมะม่วงและต้นสะเดาที่ถูกตัดฟันไม่ใช่ของโจทก์พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ทางเดินอยู่กลางที่ดินที่โจทก์ชี้ในการทำแผนที่วิวาทว่าเป็นที่ดินของโจทก์ ไม่ตรงต่อหลักฐานในท้องสำนวนและการฟังว่าเส้นสีเขียวริมทางเดินด้านตะวันตกเป็นเขตโฉนดของจำเลยไม่ถูกต้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่วิวาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้แล้วปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์จำเลยโต้เถียงการครอบครองกัน เป็นที่ดินเฉพาะส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่ดินที่โจทก์ชี้ว่าเป็นของโจทก์ มีเนื้อที่ไม่เกินครึ่งหนึ่งของที่ดินทั้งหมดที่โจทก์ว่าเป็นของโจทก์ ดังนี้ ที่ดินที่พิพาทกันจึงไม่ใช่ที่ดินทั้งแปลงที่โจทก์ตีราคาไว้ 4,000 บาท แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ให้คู่ความตีราคาส่วนที่พิพาทกันไว้ ก็พอกำหนดได้ว่า ที่พิพาทมีราคาไม่เกิน 2,000 บาท โจทก์เรียกค่าเสียหายอีก 1,200 บาท ทุนทรัพย์คดีนี้จึงไม่เกิน 5,000 บาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้

ที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทางเดินอยู่กลางที่ดินของโจทก์ไม่ตรงต่อพยานหลักฐานในสำนวนนั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์เพียงแต่ยกข้อเท็จจริงขึ้นมากล่าวโดยประมาทตามรูปที่ดินที่โจทก์ชี้ว่าทางเดินอยู่กลางที่ดิน เพราะมีทางเดินผ่าที่ดิน และทางเดินนั้นบางตอนอยู่กลางหรือเกือบกลางที่ดิน ยังถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ตรงต่อพยานหลักฐาน และเห็นว่าศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์คำพยานบุคคลรวมทั้งพยานเอกสารที่โจทก์จำเลยต่างนำสืบถึงการครอบครองของตนด้วยแล้ว

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share