คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 137/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้โจทก์โดยไม่ได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทหลังจากซื้อจากจำเลย โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองจากการโอนตามมาตรา 1377,1378 หาจำต้องทำตามแบบของนิติกรรมไม่แต่จำเลยไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมในอันที่โจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทให้โจทก์ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 จำนวน1 แปลง เนื้อที่ 31 ไร่เศษ ตั้งอยู่ตำบลดงคอน อำเภอสรรคบุรีจังหวัดชัยนาท ต่อมาจำเลยได้ฟ้องขับไล่โจทก์ กล่าวหาว่าโจทก์อาศัยที่ดินของจำเลยปลูกบ้านอยู่ โจทก์ต่อสู้คดีว่า จำเลยได้แบ่งขายให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ 1 ไร่เศษ โจทก์ได้ครอบครองอย่างเป็นเจ้าของ ศาลพิพากษาว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์ คดีถึงที่สุด โจทก์มีความประสงค์จะแบ่งแยกที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่เศษออกจาก น.ส.3 ของจำเลยตามคำพิพากษา จึงแจ้งให้จำเลยนำ น.ส.3ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่สำนักงานที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยนำ น.ส.3 เนื้อที่ 31 ไร่เศษ ไปแบ่งให้โจทก์เนื้อที่ 1 ไร่เศษ ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถ้าไม่สามารถแบ่งแยก ขอให้ศาลมีคำสั่งให้พนักงานที่ดินอำเภอสรรคบุรีดำเนินการแบ่งแยก โดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลย
จำเลยให้การว่า การซื้อขายที่ดินไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน จึงเป็นโมฆะกรรม ที่จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ให้ออกจากที่ดินพิพาท ศาลได้พิพากษายกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองอยู่ในที่พิพาทเท่านั้นหาได้มีกรรมสิทธิ์หรือจะต้องได้รับสิทธิการโอนกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนไม่ เมื่อศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์ จำเลยต่างก็อยู่ในที่ดินส่วนของตนที่ครอบครอง ไม่มีการโต้แย้งสิทธิกัน จะบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนสิทธิหาได้ไม่ ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยนำ น.ส.3 สำหรับที่ดินเนื้อที่31 ไร่เศษ ตำบลดงคอน อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ไปจดทะเบียนแบ่งแยกให้โจทก์ 1 ไร่เศษ รายละเอียดตามสำเนาแผนที่พิพาทท้ายคำพิพากษาที่ปรากฏอยู่ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 160/2525 ของศาลชั้นต้น หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้จดทะเบียนแบ่งแยกโดยถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องโจทก์และคำให้การจำเลยฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เนื้อที่ 31 ไร่เศษ ต่อมาจำเลยได้ขายที่พิพาทจำนวน 1 ไร่เศษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์โดยมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่มอบการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ จำเลยเคยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาท แต่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากจำเลยและได้สิทธิครอบครองที่พิพาทแล้ว โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ให้จำเลยจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาท ปัญหาวินิจฉัยมีว่าจำเลยจะต้องไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้จะฟังได้ว่าจำเลยได้ขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ แต่การซื้อขายที่ดินดังกล่าว คู่กรณีไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่งแต่โจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทหลังจากซื้อจากจำเลย โจทก์ได้สิทธิครอบครองจากการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,1378 หาจำต้องทำตามแบบของนิติกรรมไม่ ดังนั้นแม้ฟังได้ในชั้นนี้ว่าโจทก์ได้สิทธิครอบครองที่พิพาทไปแล้วก็ตาม แต่จำเลยก็ไม่มีหน้าที่ทางนิติกรรมที่จะต้องจดทะเบียนแบ่งแยกที่พิพาทให้โจทก์จึงบังคับจำเลยตามคำขอของโจทก์ไม่ได้ เทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1999/2523 ระหว่างนายจิต ศรเกลี้ยง โจทก์ นายประคิ่นศรีวิรัตน์ ที่ 1 นางเบี้ยน ศรีวิรัตน์ ที่ 2 จำเลย”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share