คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1368/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในกรณีที่จำเลยเพียงแต่ตกลงจ้างโจทก์ให้เป็นทนายความดำเนินคดีโดยยังมิได้ตกลงกำหนดอัตราค่าจ้างกับโจทก์เป็นจำนวนเท่าใดแน่นอนนั้นศาลย่อมมีอำนาจที่จะพิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างให้ตามสมควรแก่กิจการที่โจทก์ได้กระทำไปได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เพียงแต่พาจำเลยไปอายัดที่ดินไว้ ณ สำนักงานที่ดิน และมิได้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลแต่ประการใดการที่จำเลยกับ พ. ตกลงเรื่องที่พิพาทกันได้ ก็เพราะบุคคลภายนอกเป็นผู้ไกล่เกลี่ยไม่ใช่โจทก์ ฉะนั้น ที่ศาลกำหนดค่าจ้างให้โจทก์ 2,000 บาท จึงย่อมเป็นการสมควรแก่งานที่โจทก์ได้กระทำไป

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ซึ่งเป็นทนายความให้จัดการทวงถามทรัพย์มรดกของบุตรจำเลยจากนายพร นุชน้อย หากทวงถามไม่ตกลงก็ให้ดำเนินคดี จำเลยยอมให้ค่าจ้างโจทก์เป็นเงิน 20,000 บาทจะชำระให้เมื่อตกลงกันได้ หรือคดีถึงที่สุด ดังปรากฏตามสำเนาสัญญาจ้างจำเลยได้นำเงินค่าธรรมเนียม 3,000 บาทมามอบให้โจทก์ไว้ดำเนินคดี ต่อมาโจทก์จัดการไกล่เกลี่ยให้นายพรโอนมรดกที่ดินให้จำเลยเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ต้องดำเนินคดี จำเลยแจ้งให้โจทก์หักค่าธรรมเนียม 3,000 บาทไว้เป็นค่าจ้าง ที่เหลืออีก 17,000 บาท ขอผัดชำระภายใน 7 วัน แต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างที่ค้าง 17,000 บาทให้โจทก์

จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ได้ตกลงให้โจทก์ดำเนินคดีกับนายพรจริง แต่เรื่องค่าจ้างว่าความนั้น ได้ตกลงเอาไว้พูดกันภายหลังโจทก์ทำหนังสือเรื่องฟ้องคดีโดยมิได้อ่านให้ฟังหลอกลวงให้จำเลยหลงเชื่อ จำเลยจึงได้พิมพ์ลายนิ้วมือลงไป จำเลยนำเงิน 3,000 บาทมามอบให้โจทก์ไว้ดำเนินคดี แต่โจทก์เพิกเฉยไม่จัดการอย่างใดต่อมาพระครูสมุทรวรคุณได้ไกล่เกลี่ยจำเลยกับนายพรจนตกลงกันได้เป็นที่เรียบร้อย จำเลยจึงทวงเงินค่าธรรมเนียม 3,000 บาท แต่โจทก์ไม่ยอมคืนอ้างว่าจำเลยทำสัญญาจ้างโจทก์ดำเนินคดีเป็นเงิน 20,000 บาท จำเลยยังต้องให้เงินโจทก์อีก 17,000 บาท จำเลยจึงทราบว่าโจทก์หลอกลวงให้จำเลยพิมพ์ลายนิ้วมือในสัญญาจ้างว่าความ โจทก์มิได้ทำความสำเร็จในกิจการที่จ้าง จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างตามฟ้อง จำเลยไม่เคยยอมให้โจทก์หักค่าธรรมเนียมไว้เป็นค่าจ้าง ขอให้โจทก์คืนเงินค่าธรรมเนียม 3,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จ และขอให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า แม้จำเลยจะไม่แจ้งมอบเงิน 3,000บาทให้โจทก์ โจทก์ก็มีสิทธิยึดหน่วงไว้จนกว่าจำเลยจะชำระค่าจ้างตามสัญญาจ้างจนครบ ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาจ้างว่าความเป็นสัญญาจ้างทำของ ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จึงใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีไม่ได้ แต่โจทก์นำสืบพยานบุคคลฟังได้ว่าจำเลยตกลงจ้างโจทก์ดำเนินคดีกับนายพร เป็นเงิน 20,000 บาทจริง แต่ผลงานที่โจทก์ทำไปเพียงแจ้งการอายัดที่ดิน กับพิมพ์ฟ้องคดีแพ่งและคดีอาญาไว้เท่านั้น เห็นควรคิดให้เพียง 2,000 บาท และเงินค่าธรรมเนียม 3,000 บาท โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะยึดไว้ได้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 2,000 บาทแก่โจทก์ และให้โจทก์คืนเงิน 3,000 บาทให้จำเลย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยตกลงจ้างโจทก์ว่าความเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาทจริง เมื่อโจทก์ได้ทำงานให้จำเลยแล้วจะเป็นงานมากหรือน้อย ก็มิใช่ข้อที่ศาลจะนำมาวินิจฉัยลดค่าจ้างลงเหลือเพียง 2,000 บาทได้ โจทก์ควรได้ค่าจ้างเต็มจำนวน 20,000บาท โดยเมื่อหักเงินค่าธรรมเนียม 3,000 บาทออกแล้ว จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์อีก 17,000 บาท

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเพียงแต่ตกลงจ้างโจทก์เป็นทนายความให้ดำเนินคดีกับนายพร แต่ยังมิได้ตกลงกำหนดอัตราค่าจ้างกับโจทก์เป็นจำนวนเท่าใดแน่นอน ฉะนั้นเพื่อกรณีเป็นเรื่องที่ยังมิได้ตกลงอัตราค่าจ้างว่าความกันเช่นนี้ ศาลจึงมีอำนาจที่จะพิจารณาให้ตามสมควรแก่กิจการที่กระทำไปได้ ซึ่งพิเคราะห์แล้ว กิจการที่โจทก์ได้กระทำไปในเรื่องนี้ โจทก์เพียงแต่พาจำเลยไปทำการอายัดที่ดินไว้ ณ สำนักงานที่ดินเท่านั้น มิได้มีการดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาลประการใด จำเลยกับนายพรตกลงเรื่องที่พิพาทกันได้ เพราะพระครูสมุทรวรคุณเป็นผู้ไกล่เกลี่ยมิใช่โจทก์ ฉะนั้น ที่ศาลล่างกำหนดค่าจ้างให้โจทก์ 2,000 บาท จึงเป็นการสมควรแก่งานที่โจทก์ได้กระทำไปแล้ว

พิพากษายืน

Share