คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13654/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 9 ตาม ป.อ. มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก, 289 (2), 289 (3), 80 ประกอบมาตรา 83 จำคุกตลอดชีวิต ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 9 ไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง การที่จำเลยที่ 9 ถอนอุทธรณ์จึงไม่เป็นผลให้คดีของจำเลยที่ 9 ถึงที่สุด ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดที่ 129/2549 ให้จำเลยที่ 9 โดยระบุว่าคดีถึงที่สุดวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยที่ 9 ฟัง จึงไม่ชอบ ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนลงโทษจำเลยที่ 9 ตามศาลชั้นต้น คดีสำหรับจำเลยที่ 9 จึงเป็นที่สุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยที่ 9 ฟังตาม ป.วิ.อ. มาตรา 245 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดใหม่โดยระบุว่า คดีถึงที่สุดวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 จึงชอบแล้ว ส่วนจำเลยที่ 9 จะได้รับประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2549 หรือไม่ ย่อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2549 ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ซึ่งออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 9 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก, 289 (2), 289 (3), 80 ประกอบมาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานในการกระทำการตามหน้าที่ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 9 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (1) คงจำคุกจำเลยที่ 9 ตลอดชีวิต โจทก์และจำเลยที่ 9 อุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 9 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 อนุญาตและศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดที่ 129/2549 ให้จำเลยที่ 9 ระบุว่าคดีถึงที่สุดวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่อ่านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ 9 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง โดยพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำเลยที่ 9 มิได้ฎีกา ศาลชั้นต้นจึงออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดที่ 138/2550 ให้จำเลยที่ 9 ใหม่ ระบุว่าคดีถึงที่สุดวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยที่ 9 ฟัง และยกเลิกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดฉบับเดิม
จำเลยที่ 9 ยื่นคำร้องว่า ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดฉบับที่ 138/2550 ลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 และยกเลิกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดฉบับที่ 129/2549 ลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ไม่ถูกต้อง ทำให้จำเลยที่ 9 เสียสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาลดโทษตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2549 ขอให้ยกเลิกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 และให้ใช้หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม 2549
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดลงวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ออกโดยชอบแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง ยกคำร้อง
จำเลยที่ 9 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 9 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 9 ว่า ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดที่ 138/2550 โดยระบุว่า คดีถึงที่สุดวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 จำเลยที่ 9 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 9 ตลอดชีวิต ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 245 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาให้ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตไปยังศาลอุทธรณ์ในเมื่อไม่มีการอุทธรณ์คำพิพากษานั้น และคำพิพากษาเช่นว่านี้จะยังไม่ถึงที่สุด เว้นแต่ศาลอุทธรณ์จะได้พิพากษายืน ดังนี้ ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนคดีที่พิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจำเลยที่ 9 ไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าว การที่จำเลยที่ 9 ถอนอุทธรณ์จึงไม่เป็นผลให้คดีของจำเลยที่ 9 ถึงที่สุด ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดที่ 129/2549 ให้จำเลยที่ 9 โดยระบุว่าคดีถึงที่สุดวันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่อ่านคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยที่ 9 ฟัง จึงไม่ชอบ เมื่อต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนลงโทษจำเลยที่ 9 ตามศาลชั้นต้น คดีสำหรับจำเลยที่ 9 จึงเป็นที่สุดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้จำเลยที่ 9 ฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 วรรคสอง ที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยระบุว่า คดีถึงที่สุดวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 จึงชอบแล้ว ส่วนจำเลยที่ 9 จะได้รับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2549 หรือไม่ ย่อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2549 ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ซึ่งออกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 9 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share