แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องที่ตั้งของที่ดินพิพาทยังไม่แน่นอนว่าจะอยู่ในเขตของศาลใด  และจำเลยก็มิได้ยกปัญหาเรื่องที่โจทก์ฟ้องผิดศาลขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ  ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรที่จะยกปัญหาเรื่องนี้ขึ้นวินิจฉัย  (อ้างฎีกาที่ 2642/2519)
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ซึ่งบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินขอบโจทก์โดยพลการ ซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าว (อ้างฎีกาที่ 1190/2518)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๗๓  ตำบลคลองหนึ่ง (ท่าโขลง)  อำเภอคลองหลวง (ธัญบุรี)  จังหวัดปทุมธานี  จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกสร้างอาคารในที่ดินแปลงนี้  โดยไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะกระทำได้  และจำเลยยังคงอยู่อาศัยในอาคารที่จำเลยบุกรุกเข้ามาจนบัดนี้  โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอาคารออกไป  จำเลยยอมรับว่าได้บุกรุกที่ดินของโจทก์จริง  แต่ไม่รื้อถอนออกไป  ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวาร ฯลฯ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินของโจทก์โดยพลการ  จำเลยได้เข้าไปปลูกบ้านโดยอาศัยสิทธิของนายเคลือบผู้เช่าที่ดินแปลงพิพาทจากโจทก์  ต่อมาจำเลยยินยอมรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์  โดยโจทก์ตกลงจ่ายค่ารื้อถอนให้  แต่โจทก์ไม่จ่ายเงินให้จำเลย  ทั้งยินยอมให้จำเลยอาศัยตลอดมาจนบัดนี้โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป  โจทก์นำคดีมาฟ้องศาลโดยไม่ให้จำเลยทราบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน  จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย  แล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์  ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว  จำเลยฎีกาในข้อแรกว่า  ที่ดินพิพาทและบ้านของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ที่โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดธัญบุรีจึงเป็นการฟ้องผิดศาล  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ปรากฏตามฟ้องของโจทก์ว่าที่ดินแปลงพิพาทอยู่ที่ตำบลคลองหนึ่ง  อำเภอคลองหลวง  จังหวัดปทุมธานี  ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดธัญบุรี  และภาพถ่ายโฉนดที่ ๓๗๓ เอกสารท้ายฟ้องหมาย ๑ ก็ปรากฏว่าเป็นที่ดินตำบลคลองซอยที่ ๑ อำเภอคลองหลวง  ทั้งตามรายงานการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลย  เจ้าพนักงานศาลก็ระบุว่านำไปส่งให้จำเลยที่บ้านท่าโขลง  ตำบลคลองหนึ่ง  หรือตำบลท่าโขลง  อำเภอคลองหลวง  แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดี  จำเลยระบุว่าบ้านอยู่ตำบลเชียงรากน้อย  อำเภอบางปะอินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา  ซึ่งแตกต่างกันอยู่  เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องที่ตั้งของที่ดินพิพาทยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าจะอยู่ในเขตของศาลใด  และจำเลยก็มิได้ยกปัญหาเรื่องที่โจทก์ฟ้องผิดศาลขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ  ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรที่จะยกปัญหาเรื่องนี้ขึ้นวินิจฉัย
จำเลยฎีกาในข้อต่อไปว่า  จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์และไม่ได้ละเมิดต่อโจทก์  การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้บอกกล่าวเป็นการไม่ชอบ  ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปรากฏตามคำให้การของจำเลยข้อ ๒ ว่า  จำเลยยินยอมรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ ตามบันทึกเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ปรากฏชัดตามเอกสารฉบับนี้ว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านพักอาศัยโดยพลการและยินดีจะรื้อถอนออกไปเป็นแต่ขอให้ทางราชการช่วยค่ารื้อถอน  จึงเท่ากับจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยพลการ  ซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์  และเมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป  โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้  โดยไม่จำต้องบอกกล่าว
พิพากษายืน

