คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 136/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องที่ตั้งของที่ดินพิพาทยังไม่แน่นอนว่าจะอยู่ในเขตของศาลใด และจำเลยก็มิได้ยกปัญหาเรื่องที่โจทก์ฟ้องผิดศาลขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรที่จะยกปัญหาเรื่องนี้ขึ้นวินิจฉัย (อ้างฎีกาที่ 2642/2519)
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ซึ่งบุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินขอบโจทก์โดยพลการ ซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าว (อ้างฎีกาที่ 1190/2518)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๗๓ ตำบลคลองหนึ่ง (ท่าโขลง) อำเภอคลองหลวง (ธัญบุรี) จังหวัดปทุมธานี จำเลยบุกรุกเข้ามาปลูกสร้างอาคารในที่ดินแปลงนี้ โดยไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะกระทำได้ และจำเลยยังคงอยู่อาศัยในอาคารที่จำเลยบุกรุกเข้ามาจนบัดนี้ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอาคารออกไป จำเลยยอมรับว่าได้บุกรุกที่ดินของโจทก์จริง แต่ไม่รื้อถอนออกไป ขอให้ขับไล่จำเลยกับบริวาร ฯลฯ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกเข้าไปปลูกสร้างบ้านในที่ดินของโจทก์โดยพลการ จำเลยได้เข้าไปปลูกบ้านโดยอาศัยสิทธิของนายเคลือบผู้เช่าที่ดินแปลงพิพาทจากโจทก์ ต่อมาจำเลยยินยอมรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ โดยโจทก์ตกลงจ่ายค่ารื้อถอนให้ แต่โจทก์ไม่จ่ายเงินให้จำเลย ทั้งยินยอมให้จำเลยอาศัยตลอดมาจนบัดนี้โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป โจทก์นำคดีมาฟ้องศาลโดยไม่ให้จำเลยทราบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาให้จำเลยและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไป ฯลฯ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว จำเลยฎีกาในข้อแรกว่า ที่ดินพิพาทและบ้านของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดธัญบุรีจึงเป็นการฟ้องผิดศาล ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏตามฟ้องของโจทก์ว่าที่ดินแปลงพิพาทอยู่ที่ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดธัญบุรี และภาพถ่ายโฉนดที่ ๓๗๓ เอกสารท้ายฟ้องหมาย ๑ ก็ปรากฏว่าเป็นที่ดินตำบลคลองซอยที่ ๑ อำเภอคลองหลวง ทั้งตามรายงานการส่งหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลย เจ้าพนักงานศาลก็ระบุว่านำไปส่งให้จำเลยที่บ้านท่าโขลง ตำบลคลองหนึ่ง หรือตำบลท่าโขลง อำเภอคลองหลวง แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดี จำเลยระบุว่าบ้านอยู่ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอบางปะอินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งแตกต่างกันอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงเรื่องที่ตั้งของที่ดินพิพาทยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าจะอยู่ในเขตของศาลใด และจำเลยก็มิได้ยกปัญหาเรื่องที่โจทก์ฟ้องผิดศาลขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ ศาลฎีกาจึงไม่เห็นสมควรที่จะยกปัญหาเรื่องนี้ขึ้นวินิจฉัย
จำเลยฎีกาในข้อต่อไปว่า จำเลยไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์และไม่ได้ละเมิดต่อโจทก์ การที่โจทก์ฟ้องคดีโดยไม่ได้บอกกล่าวเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าปรากฏตามคำให้การของจำเลยข้อ ๒ ว่า จำเลยยินยอมรื้อถอนบ้านของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ ตามบันทึกเอกสารท้ายฟ้องโจทก์ปรากฏชัดตามเอกสารฉบับนี้ว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านพักอาศัยโดยพลการและยินดีจะรื้อถอนออกไปเป็นแต่ขอให้ทางราชการช่วยค่ารื้อถอน จึงเท่ากับจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยพลการ ซึ่งเป็นการละเมิดต่อโจทก์ และเมื่อโจทก์ไม่ต้องการให้จำเลยอยู่ต่อไป โจทก์ก็มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าว
พิพากษายืน

Share