แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ร้านสหกรณ์โรงงานกระดาษบางปะอิน จำกัด จำเลยที่ 1 จะได้เลิกกิจการไปแล้วก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 มาตรา 89 ให้ถือว่ายังคงดำรงอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีของผู้ชำระบัญชีสภาพการเป็นนิติบุคคลของจำเลยที่1 ยังไม่สิ้นสุดลง การเป็นนายจ้างลูกจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงไม่สิ้นสุดลงโดยการเลิกกิจการของจำเลยที่ 1 และเมื่อต่อมาจำเลยที่ 1 เลิกจ้างโจทก์โดยยังมิได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ชำระบัญชีจึงมีหน้าที่จัดการชำระหนี้แก่โจทก์ในนามของจำเลยที่ 1 ให้เสร็จสิ้นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา 90 และ 94 การที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ชำระบัญชีชำระหนี้ดังกล่าวจึงหาเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 52 ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ ๒ เป็นประธานกรรมการบริหาร โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยที่ ๑ ต่อมาจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์กับพวกโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เลิกกิจการไปแล้ว ก่อนโจทก์ทั้งสี่ถูกเลิกจ้างจำเลยที่ ๒ จึงหมดอำนาจไปแล้ว เมื่อจำเลยที่ ๑ ประกาศเลิกกิจการแล้วได้จ่ายเงินเดือนให้แก่โจทก์ทั้งสี่ไปอีก ๑ งวด โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้ปฏิบัติงานมาแล้วเกินกว่า๒ เดือน การเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่จำเลยที่ ๑ ได้ปฏิบัติตามกฎหมายแรงงานแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณาศาลแรงงานกลางสอบข้อเท็จจริงบางประการแล้วเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าชดเชยแก่โจทก์ตามฟ้อง โดยให้จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่สะสางติดตามทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่มาจ่ายให้จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าได้ความตามที่ศาลแรงงานกลางสอบถามคู่ความว่า ร้านสหกรณ์โรงงานกระดาษบางปะอิน จำกัด จำเลยที่ ๑ โดยนายใบ ทองกลม จำเลยที่ ๒ เป็นประธานกรรมการ ต่อมาได้ประกาศเลิกกิจการตามประกาศนายทะเบียนสหกรณ์ ลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๒๙ และได้แต่งตั้งนางศรีสมร สนองญาติ จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ชำระบัญชีในวันเดียวกันนั้น ต่อมาจำเลยที่ ๒ ประธานกรรมการได้ออกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่และคำสั่งเลิกจ้างมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๙ โดยจำเลยยังมิได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยให้โจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง
ข้อที่จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ว่า สภาพการเป็นนายจ้างของจำเลยที่๑ สิ้นสุดลงโดยการเลิกกิจการ มีผลให้นิติสัมพันธ์การเป็นนายจ้างลูกจ้างสิ้นสุดลงด้วย จึงไม่ใช่เป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานนั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ มาตรา ๘๙ บัญญัติไว้ใจความว่า สหกรณ์นั้นแม้จะได้เลิกกิจการไปแล้ว ก็ให้ถือว่ายังคงดำรงอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี แสดงว่าสภาพการเป็นนิติบุคคลของจำเลยที่ ๑ ยังไม่สิ้นสุดลงตามบทกฎหมายดังกล่าว นิติสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ทั้งสี่จึงหาได้สิ้นสุดลงดังที่จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ไม่
ข้อที่จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ว่าศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ มีหน้าที่ติดตามทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ ที่มีอยู่มาจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์นั้นไม่ถูกต้อง กรณีไม่มีเหตุสมควรเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความ เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ นั้นพิเคราะห์แล้วตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ ส่วนที่ ๕ ว่าด้วยการชำระบัญชี โดยมาตรา ๘๙ บัญญัติว่า ‘สหกรณ์นั้นแม้จะได้เลิกไปแล้วก็ให้พึงถือว่ายังคงดำรงอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชี’ มาตรา ๙๐ บัญญัติว่า ‘ให้ผู้ชำระบัญชีมีหน้าที่ชำระสะสางกิจการของสหกรณ์จัดการชำระหนี้ และจำหน่ายทรัพย์สินของสหกรณ์นั้นให้เสร็จไป’ และมาตรา ๙๔ บัญญัติว่า ‘ผู้ชำระบัญชีมีอำนาจดังต่อไปนี้…ฯลฯ (๔) ดำเนินการทั้งปวงเกี่ยวกับคดีแพ่งหรือคดีอาญาและประนีประนอมยอมความในเรื่องใดๆ ในนามของสหกรณ์’ ดังนี้ เห็นว่า แม้ร้านสหกรณ์โรงงานกระดาษบางปะอินจำกัด จำเลยที่ ๑ จะได้เลิกกิจการไปแล้วก็ตาม แต่ตามกฎหมายให้ถือว่ายังคงดำรงอยู่ตราบเท่าเวลาที่จำเป็นเพื่อการชำระบัญชีของจำเลยที่ ๓ ผู้ชำระบัญชีที่จะกระทำการชำระสะสางกิจการจัดการชำระหนี้และจำหน่ายทรัพย์สินของจำเลยที่ ๑ รวมทั้งดำเนินการทั้งปวงเกี่ยวกับคดีนี้ให้เสร็จไปในนามของจำเลยที่ ๑ และเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ค้างชำระสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสี่ตามฟ้อง จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ชำระบัญชีจึงมีหน้าที่จัดการชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งสี่ในนามของจำเลยที่ ๑ ให้เสร็จสิ้นไปดังนั้น ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ชำระบัญชีชำระหนี้ดังกล่าวจึงหาใช่เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๕๒ ดังจำเลยที่ ๓ อุทธรณ์ไม่
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ชำระบัญชีร่วมกันชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีสำหรับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ทั้งสี่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.