แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์ จำเลยรับว่าสั่งจ่ายเช็คนั้นจริงเพื่อกิจการอย่างหนึ่ง แต่ถึงกำหนดกิจการนั้นเลิกล้มไปเพราะโจทก์ประพฤติผิดสัญญาแต่ในวันชี้สองสถานจำเลยแถลงว่าออกเช็คให้โจทก์เนื่องจากมีสัญญาจะเช่าห้องโจทก์ภายใน 7 วัน ครั้นครบ 7 วันจำเลยไม่สามารถหาเงินมาเช่าห้องได้ ดังนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับเช็คโดยชอบและสุจริต จำเลยไม่พ้นความรับผิดไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คธนาคารกรุงเทพฯ ซึ่งจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายให้โจทก์เป็นเงิน 20,000 บาท กับดอกเบี้ย โดยกล่าวว่าโจทก์เป็นผู้ทรงโดยสุจริต ได้นำเช็คนี้ไปขึ้นเงินแล้วธนาคารไม่ยอมจ่าย โดยอ้างว่าจำเลยห้ามการใช้เงิน
จำเลยให้การว่า ออกเช็คให้โจทก์จริงเพื่อกิจการอย่างหนึ่งเมื่อถึงกำหนดกิจการนั้นล้มเลิกไป จำเลยจึงห้ามธนาคารจ่ายเงิน
ศาลแพ่งพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 20,000 บาทกับดอกเบี้ย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายให้โจทก์ จำเลยให้การรับว่าเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คนั้นเพื่อกิจการอย่างหนึ่ง แต่จะขอสืบว่าเหตุที่จำเลยสั่งธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็ค เป็นเพราะกิจการนั้นเลิกล้มไปโดยโจทก์ผิดสัญญาแต่ในรายงานการชี้สองสถานจำเลยได้แถลงว่าการออกเช็คเนื่องจากมีสัญญาจะเช่าห้องโจทก์ภายใน 7 วัน ครั้นครบกำหนด 7 วัน จำเลยไม่สามารถหาเงินมาเช่าห้องได้เช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่จำเลยเองเป็นฝ่ายผิดสัญญา ฉะนั้นจึงถือได้ว่าโจทก์ได้รับเช็คโดยชอบและสุจริต จำเลยไม่พ้นความรับผิดไปได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 900
จึงพิพากษายืน