แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เป็นหัวหน้าคนงานได้บอกให้คนงานเก็บเครื่องมือและหยุดงานประท้วงจำเลยเพราะไม่พอใจที่จำเลยไล่ลูกจ้างบางคนออกจากงาน เมื่อการนัดหยุดงานดังกล่าวยังไม่มีการแจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลยจึงเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 การกระทำของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นการจงใจทำให้นายจ้าง ได้รับความเสียหายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 47(2) จำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 เมื่อเลิกจ้าง
จำเลยอ้างว่า โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเพราะโจทก์ ลักเอาใบลาและบัตรลงเวลาของโจทก์ไป แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ในภายหลังหาใช่เกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์เอาใบลาและบัตรลงเวลาคืนไป จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์ทั้งสี่เข้าทำงานเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2524 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ โดยโจทก์ทั้งสี่มิได้กระทำผิดและจำเลยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าทั้งไม่จ่ายค่าชดเชยให้ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างกรณีเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า 4,560 บาท ค่าชดเชย43,200 บาท แก่โจทก์ที่ 1 จ่ายสินจ้างกรณีเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า2,498.50 บาท ค่าชดเชย 23,670 บาทแก่โจทก์ที่ 2 จ่ายสินจ้างกรณีเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า 1,092.50 บาท ค่าชดเชย 10,350 บาท แก่โจทก์ที่ 3และจ่ายสินจ้างกรณีเลิกจ้างโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า 1,092.50 บาท ค่าชดเชย10,350 บาทแก่โจทก์ที่ 4
จำเลยให้การว่า เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2524 เวลา 9.00 นาฬิกา โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานของบริษัทจำเลยได้ยุยงข่มขู่คนงานของจำเลยจำนวน 54 คนให้ร่วมกันหยุดงาน โดยไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13, 34 ซึ่งห้ามมิให้ลูกจ้างนัดหยุดงานโดยมิได้แจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือให้นายจ้างทราบ การกระทำของโจทก์ที่ 1ที่ 2 เป็นการบีบบังคับให้บริษัทจำเลยยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างนายประเสริฐ ชูรัตน์และนายวิชาญ บัวขาว ซึ่งจำเลยเลิกจ้างเนื่องจากบุคคลทั้งสองลักหัวแก็สสำหรับตัดเหล็กของจำเลย ส่วนโจทก์ที่ 3 ที่ 4 ได้กระทำผิดอาญาโดยลักเอาเอกสารใบลาออกและบัตรลงเวลาทำงานของคนงานซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยจำนวน 38 ฉบับ ไปจากความครอบครองของจำเลย การกระทำของโจทก์ที่ 1 กับพวกเป็นจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างเกิดความเสียหายและพร้อมกันนั้นโจทก์ที่ 1 กับพวกให้ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันควร ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม 2524 เวลา 9.00 นาฬิกา จนวันที่ 16 พฤษภาคม2524 จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 กับพวก เนื่องจากโจทก์ที่ 1 กับพวกกระทำผิดตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯข้อ 47(1)(2)(3)(4) ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 บอกให้คนงานเก็บเครื่องมือและหยุดงานประท้วงมิให่เป็นการจงใจกระทำให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย โจทก์ทั้งสี่หยุดงานประท้วงอันเป็นการละทิ้งหน้าที่เพียงวันเดียวและโจทก์ที่ 3 ที่ 4 มิได้ลักใบลาและบัตร 1 ปึก เพียงแต่เอาใบลาและบัตรของโจทก์ที่ 3ที่ 4 เองไปไม่มีเจตนาลักทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ การละทิ้งหน้าที่ 1 วันจำเลยเลิกจ้าง โดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าได้แต่ไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์ที่ 1 43,200 บาท โจทก์ที่ 223,670 บาท โจทก์ที่ 3 10,350 บาท โจทก์ที่ 4 10,350 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การที่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 บอกให้คนงานเก็บเครื่องมือและหยุดงานประท้วงก็เพื่อให้จำเลยได้รับความเสียหายจากการนัดหยุดงานของคนงานจนต้องยอมตามความประสงค์ของคนงาน เมื่อการนัดหยุดงานดังกล่าวยังไม่มีการแจ้งข้อเรียกร้องต่อจำเลย จึงเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 การกระทำของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 จึงเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน วันที่ 16 เมษายน 2515 ข้อ 47(2)จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ในกรณีนี้จึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
จำเลยอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ที่ 3 ที่ 4 เอาใบลาออกและบัตรลงเวลาของตนไปก็โดยประสงค์จะให้หลักฐานแห่งการลาออกของโจทก์ที่ 3 ที่ 4 ไม่อยู่ที่จำเลย เป็นการทำลายหลักฐานซึ่งโจทก์ที่ 3 ที่ 4 จะไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ถือได้ว่าการเอาใบลาและบัตรลงเวลาไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการเอาไปโดยเจตนาทุจริตและเป็นความผิดฐานลักทรัพย์เห็นว่าสิทธิของโจทก์ที่ 3 ที่ 4 ที่จะได้รับค่าชดเชยเกิดจากถูกจำเลยเลิกจ้างในภายหลังหาใช่เกิดขึ้นเนื่องจากโจทก์ที่ 3 ที่ 4 เอาใบลาออกคืนไปไม่ การที่โจทก์ที่ 3 ที่ 4 เอาใบลาออกและบัตรลงเวลาไปเสียจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายดังจำเลยอ้าง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1 ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง