คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้ทราบถึงการที่โจทก์ฟ้องคดีมาตั้งแต่แรก แต่เพิ่งร้องสอดเข้ามาหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้ว 5 ปีเศษ จนได้มีการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว ทั้งได้สืบพยานจำเลยไปแล้วรวม 29 นัด จวนจะเสร็จสิ้นพยานจำเลยอยู่แล้ว จึงไม่สมควรอนุญาตให้ผู้ร้องร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ เพราะจะทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเพิ่มความยุ่งยากขึ้น

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสี่เกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนางแฉล้ม บุณยะประภูติ โดยโจทก์ขอให้ศาลพิพากษากำจัดจำเลยที่ ๑ ไม่ให้รับมรดกของนางแฉล้ม ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ ๔๗๘๕, ๕๑๒๒, ๕๑๒๘ เฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๑ แล้วลงชื่อโจทก์ทั้งสามถือกรรมสิทธิ์แทนคนละส่วนเท่ากัน ให้โจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันคนละหนึ่งส่วนในที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างในที่ดินรวม ๑๖ โฉนด ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง เว้นแต่โฉนดที่ ๑๘๘๒ คิดเพียงครึ่งหนึ่งรวมทั้งสิ้นเป็น ๑๙๐,๘๙๒,๒๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ส่งมอบเงินผลประโยชน์เป็นเงินทั้งสิ้น ๘๔๐,๕๘๒ บาท ๑๖ สตางค์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี กับให้ชำระเป็นรายเดือน ๆ ละ ๓๘,๒๐๘ บาท ๒๘ สตางค์ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ให้ชำระค่าเสียหายเป็นเงิน ๔,๙๙๗,๗๐๗ บาท ๕๐ สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในยอดเงิน ๑๓๓,๒๗๒,๒๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสี่ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น นายแถบ หวังสมนึก ยื่นคำร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความ อ้างว่าผู้ร้องเป็นสามีของนางแฉล้ม บุญยะประภูติ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๖๓ ได้อยู่กินร่วมกันมาโดยทั้งสองฝ่ายมีสินเดิม ช่วยกันทำมาหากินประกอบอาชีพร่วมกันตลอดมา เกิดทรัพย์สินสมรสรวม ๑๖ รายการ ก่อนถึงแก่กรรมนางแฉล้มได้จดทะเบียนสมรสกับพันตำรวจเอก (พิเศษ) เจริญ บุณยะประภูติ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๘๖ เมื่อผู้ร้องทราบและจะฟ้องคดีชู้สาวต่อศาล แต่ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือขอให้ระงับ หลังจากนั้นนางแฉล้มก็ยังอยู่กันฉันสามีภริยากับผู้ร้องตลอดมาจนถึงแก่กรรม ผู้ร้องมีสิทธิจะได้รับแบ่งทรัพย์ในฐานเป็นสามีและเป็นทายาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๐,๓๑๙,๑๒๙ บาท ๕๐ สตางค์ ส่วนโจทก์ทั้งสามมิได้เป็นทายาท ไม่มีสิทธิรับทรัพย์มรดกรายนี้ ผู้ร้องจึงร้องสอดขอเข้าเป็นคู่ความเพื่อให้ได้รับความรับรองหรือบังคับตามสิทธิของผู้ร้องสอดที่มีอยู่
โจทก์ทั้งสามคัดค้านว่า สิทธิของผู้ร้องขาดอายุความเพราะมิได้ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า การสมรสระหว่าง พันตำรวจเอก (พิเศษ) เจริญ กับนางแฉล้ม เป็นโมฆะภายใน ๑๐ ปี และไม่สมควรรับคำร้องสอด เพราะผู้ร้องทราบถึงการดำเนินคดีนี้ ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลา ๕ ปีแล้ว ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอด
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การร้องสอดเข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑) นั้น มิได้หมายความว่าศาลต้องอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความได้ทุกกรณีไป ศาลย่อมมีอำนาจพิจารณาว่ามีเหตุสมควรอนุญาตหรือไม่แล้วแต่คำร้องนั้นมีเหตุสมควรเพียงไร เห็นว่าตามคำแถลงของผู้ร้อง ลงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๑๙ ก็รับอยู่แล้วว่า ผู้ร้องทราบการฟ้องคดีนี้แต่แรกแล้ว แต่ก็หาได้ร้องสอดเข้ามาในคดีทันทีไม่ เพิ่งร้องสอดเข้ามาหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว ๕ ปีเศษ จนได้มีการสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้ว โดยสืบพยานโจทก์ทั้งหมด ๑๔ นัด พยานจำเลยก็สืบไปแล้วรวม ๒๙ นัด จวนจะเสร็จสิ้นพยานจำเลยอยู่แล้ว เห็นได้ว่าไม่สมควรอนุญาตให้ผู้ร้องร้องสอดเข้ามาในคดีนี้ เพราะจำทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลเพิ่มความยุ่งยากขึ้น
พิพากษายืน

Share