คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บ้านผู้ตายชั้นบนด้านหน้าเปิดโล่ง ไม่มีฝาผนัง รอบบ้านไม่มีรั้ว สามารถมองเห็นภายในบ้านได้ จากระยะไกล หากจำเลยต้องการทราบเพียงว่าโจทก์อยู่ในบ้านหรือไม่ ย่อมไม่จำเป็นต้อง ทำทีไปขอยาจาก อ. เมื่อ อ. เอายาให้จำเลย จำเลยขอน้ำดื่มกับยาด้วย กรณีอาจเป็นได้ ว่า ขณะที่จำเลยไปขอยานั้น จำเลยป่วยจริงและยังมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่ เมื่อพบผู้ตายอยู่ในบ้าน ความแค้นที่เคยมีต่อ ผู้ตายก็เกิดขึ้นมาอีกในทันทีทันใด จึงกลับไปเอาอาวุธปืนมายิงผู้ตาย พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือ ไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดย ไตร่ตรอง ไว้ก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีและพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยฝ่าฝืนกฎหมายและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายเรือง แก้ววัน จนถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 289, 90,91
จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจริง แต่มิได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ จำคุก 6 ปีฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 8 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 4 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุม และสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ และคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีสมควรปรานีลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(2) คงให้จำคุกจำเลย 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อหามีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตรวม 2 กระทงถึงที่สุด ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริงคดีคงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยิงผู้ตายเพราะผู้ตายทำร้ายจิตใจและข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้จำเลยบันดาลโทสะหรือไม่ ที่จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยไปปรับความเข้าใจกับผู้ตาย แต่จำเลยถูกผู้ตายตบหน้านั้น จำเลยไม่ได้ถามค้านนางอรพินพยานโจทก์ แล้วจำเลยนำพยานมาสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวในตอนหลังจึงไม่มีน้ำหนัก ชั้นสอบสวนจำเลยก็มิได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเลย ส่วนโจทก์มีนางอรพินเบิกความสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย เอกสารหมาย จ.8 ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไปขอยาแก้ปวดที่บ้านผู้ตาย เมื่อนางอรพินเอายาให้จำเลย จำเลยออกไปจากบ้านแล้วกลับมาใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งว่าพนักงานสอบสวนจัดทำบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนโดยมิชอบกลับเบิกความรับว่าพนักงานสอบสวนมิได้ทำร้ายหรือบังคับขู่เข็ญใด ๆ ทั้งสิ้น พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยถูกตบหน้าแล้วจึงยิงผู้ตาย จึงไม่ใช่กรณีจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยฟังว่าจำเลยไปขอยานางอรพินเนื่องจากต้องการดูว่าผู้ตายอยู่หรือไม่แสดงว่าจำเลยได้ตระเตรียมและมีแผนการฆ่าผู้ตายเพราะจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงทำร้ายก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามภาพถ่ายบ้านผู้ตายหมาย จ.6 ชั้นบนด้านหน้าเปิดโล่งไม่มีฝาผนัง รอบ ๆ บ้านก็ไม่มีรั้ว สามารถมองเห็นภายในบ้านได้จากระยะไกล หากจำเลยต้องการทราบเพียงว่าผู้ตายอยู่ในบ้านหรือไม่ ย่อมไม่จำเป็นต้องทำทีไปขอยานางอรพิน นอกจากนี้นางอรพินยังเบิกความด้วยว่าเมื่อเอายาให้จำเลย จำเลยขอน้ำดื่มกับยาด้วย กรณีอาจเป็นไปได้ว่าขณะที่จำเลยไปขอยานางอรพินนั้น จำเลยป่วยจริงและยังมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เมื่อพบผู้ตายอยู่ในบ้าน ความแค้นที่เคยมีต่อผู้ตายก็เกิดขึ้นมาอีกในทันทีทันใด จึงกลับไปเอาอาวุธปืนมายิงผู้ตาย พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมสอบสวนและชั้นพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษจำคุกให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.

Share