คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1348/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใส่ความ ลงข้อความในหนังสือพิมพ์รายวันว่า “ชาวบ้านที่ติดต่อแผนกที่ดิน จ.นครสวรรค์ ร้องกันอู้ จู่ ๆ ถูกสาวก้นแฉะ ทรงศรี ใช้วจีไม่ค่อยรื่นหู เจตน์ สุวรรณ ที่ดินจังหวัดคนตงฉินได้ยินแล้วอบรมซะบ้าง” เป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้นางสาวทรงศรีโจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ว่าเป็นคนประพฤติไม่ดี ชอบร่วมประเวณีกับชายทั่ว ๆ ไปเป็นประจำไม่เลือกหน้า และได้จำหน่ายจ่ายแจกหนังสือพิมพ์ดังกล่าวไปทั่วทุกจังหวัด ดังนี้เห็นได้ว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายและอธิบายความหมายของข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นการใส่ความในประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ทั้งได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้น ได้แพร่หลายไปยังบุคคลที่สามอีก เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ถือได้ว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้นเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จึงไม่จำต้องแปลข้อความให้เห็นเป็นอย่างอื่นนอกเหนือที่จำเลยรับสารภาพ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้อำนวยการ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์และผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายวัน จำเลยที่ ๒ เป็นหัวหน้าแผนกข่าว ได้ร่วมกันใส่ความ ลงข้อความในหนังสือพิมพ์ดังกล่าวว่า “ชาวบ้านที่ไปติดต่อแผนกที่ดิน จ.นครสวรรค์ ร้องกันอู้จู่ ๆ ถูกสาวก้นแฉะทรงศรี ใช้วจีไม่ค่อยรื่นหู เจตน์ สุวรรณ ที่ดินตงฉินได้ยินแล้วอบรมซะบ้าง” เป็นการใส่ความโดยประการน่าจะทำให้นางสาวทรงศรี ชมภูศรี ผู้เสียหายซึ่งเป็นข้าราชการสำนักงานที่ดินจังหวัดนครสวรรค์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และเกลียดชัง ว่าเป็นคนประพฤติไม่ดี ชอบร่วมประเวณีกับชายทั่ว ๆ ไปเป็นประจำไม่เลือกหน้า และได้จำหน่ายจ่ายแจกหนังสือพิมพ์ไปทั่วทุกจังหวัด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖,๓๒๘,๓๓๒ ให้จำเลยร่วมกันโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายวัน และในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับอื่นอีก ๑ ฉบับติดต่อกัน ๑๕ วัน โดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖,๓๒๘,๓๓๒ จำคุกคนละ ๒ เดือน จำเลยรับสารภาพ ลดโทษคนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ ๑ เดือน ให้จำเลยร่วมกันโฆษณาคำพิพากษานี้ทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายวันและในหนังสือพิมพ์รายวันฉบับอื่นอีก ๑ ฉบับ ติดต่อกันเป็นระยะเวลา ๑๕ วัน โดยให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษปรับหรือรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ ไม่ใช่เป็นคำหมิ่นประมาท แม้จำเลยรับสารภาพ ก็ไม่เป็นผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามฟ้องโจทก์ได้บรรยายและอธิบายความหมายข้อข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ เป็นการใส่ความแก่โจทก์ร่วมในประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ทั้งได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้น ได้แพร่หลายไปยังบุคคลที่สามอีก เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ถือได้ว่า ข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้นเป็นข้อความหมิ่นประมาท โจทก์ร่วม จึงไม่จำต้องแปลข้อความให้เห็นเป็นอย่างอื่นนอกเหนือที่จำเลยรับสารภาพดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามฟ้อง
พิพากษากลับ ว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๘ จำคุกคนละ ๒ เดือน ปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท จำเลยรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ ๑ เดือน ปรับคนละ ๕๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้คนละสองปี ให้จำเลยร่วมกันโฆษณาคำพิพากษานี้ทั้งหมดในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐรายวัน และในหนังสือรายวันฉบับอื่นอีก ๑ ฉบับ ติดต่อกันเป็นเวลา ๑๕ วัน โดยให้จำเลยร่วมกันชำระค่าโฆษณานี้

Share