แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้บทบัญญัติมาตรา 91 ตรี แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ ซึ่งระบุให้ผู้ที่หลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และโดยการหลอกลวงนั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวงนั้น จะมีถ้อยคำว่า “หลอกลวงผู้อื่น” ก็ตาม แต่ก็มิใช่ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯ ก็มิได้ให้พนักงานอัยการโจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีอีก 1 คน ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกได้ประกอบธุรกิจจัดหางานให้แก่นายประศักดิ์ตรีล้ำ นายนิพน เทพจุด นายอำนวย วงษ์ธรรม และนายผจญ ประจวบกลาง ผู้เสียหายทั้งสี่ ซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานที่ประเทศสิงคโปร์ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง และจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายทั้งสี่ว่าสามารถหางานให้ผู้เสียหายทั้งสี่ไปทำงานในประเทศสิงคโปร์ได้ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานต่างประเทศได้และโดยการหลอกลวงนั้นจำเลยกับพวกได้ไปซึ่งเงินจากผู้เสียหายทั้งสี่คนละ 40,000 บาท ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่คนละ40,000 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี จำคุก 4 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่คนละ 40,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้คืนเงินแก่ผู้เสียหายทั้งสี่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าความผิดตามมาตรา 91 ตรี แห่งพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 นั้น เป็นคดีฉ้อโกงประเภทหนึ่ง อันพนักงานอัยการโจทก์มีสิทธิขอให้จำเลยคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 43 หรือไม่ พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี บัญญัติว่า “ผู้ใดหลอกลวงผู้อื่นว่าสามารถหางานหรือสามารถส่งไปฝึกงานในต่างประเทศได้ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดจากผู้ถูกหลอกลวง ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปีหรือปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” เห็นว่า แม้บทบัญญัติดังกล่าวจะมีคำว่า”หลอกลวงผู้อื่น…” แต่ก็มิใช่ความผิดฐานฉ้อโกงตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 และพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ก็มิได้บัญญัติให้พนักงานอัยการโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยคืนหรือชดใช้เงินคืนแก่ผู้เสียหาย โจทก์จึงไม่อาจขอให้ศาลบังคับให้จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายทั้งสี่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน