แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องบรรยายว่าจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือกู้เงินจำนวนหนึ่งให้โจทก์ยึดไว้เป็นสำคัญ โจทก์ได้แนบสำเนาหนังสือกู้นี้มาพร้อมกับฟ้องด้วย เมื่อหนังสือกู้นั้นมีความชัดเจนว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กู้ในนามของตนคนเดียวไม่ปรากฎว่าทำในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ทั้งจำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้ยกเรื่องตัวการตัวแทนขึ้นโต้แย้งประการใดดังนี้ ถือได้ว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามสัญญากู้ ดังสำเนาท้ายฟ้องนั่นเอง ตามประมวล ก.ม.วิธีพิจารณาถือว่า เอกสารที่แนบมาท้ายฟ้องนั้นเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ซื้อข้าวสารในท้องที่อำเภอปากพนังและขนย้ายหรือยักย้ายไปยังท้องที่อำเภอเมืองนครศรีธรรม ราชจำนวน ๑๐๐ กระสอบ ตามใบอนุญาตของข้าหลวงประจำจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ ช.๑๔๘/๒๔๘๙ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ แล้วจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนซื้อข้าวสารตามใบอนุญาตนั้น และให้มีอำนาจขนย้ายหรือยักย้ายได้ด้วย เมื่อระหว่างวันที่ ๑๘ ถึง ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ จำเลยที่ ๒ ได้ซื้อข้าวสาร ๓๐% ของโจทก์ ๑๐๐ กระสอบตามใบอนุญาตนั้น และจ้างโจทก์ขนส่งถึงท่าเรือยนต์วัดโคกข่อย ตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช รวมราคาข้าวสารและค่าส่งเป็นเงิน ๑๖,๕๐๐ บาท โจทก์ตกลงขายและทำการส่งมอบให้จำเลยที่ ๒ เสร็จแล้ว แต่จำเลยไม่มีเงินสดชำระให้โจทก์จึงเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๔๘๙ จำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญากู้เงิน ๑๖,๕๐๐ บาทให้โจทก์ยึดถือไว้กำหนดชำระภายในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๐ จำเลยผ่อนชำระให้โจทก์แล้ว ๓ ครั้ง เป็นเงิน ๘๖๕๖ บาท คงค้างอยู่อีก ๗๘๔๔ บาท พ้นกำหนดชำระเงินตามสัญญาแล้ว โจทก์ทวงเตือนหลายคราว สิ้นค่าใช้จ่ายในการทวงเตือนไป ๒๐๐ บาท ซึ่งจำเลยต้องรับผิดตามสัญญาด้วย และคิดค่าดอกเบี้ยที่ค้างถึงวันฟ้อง ๒๒๐ บาท
ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงว่าจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ จัดการซื้อข้าวสารแทนเพียงแต่จำเลยที่ ๒ นำใบอนุญาตซื้อและขนย้ายข้าวของจำเลยที่ ๑ มาจัดซื้อจากโจทก์เท่านั้น นิติกรรมที่จำเลยที่ ๒ ทำแก่โจทก์เป็นหนี้ค่าข้าวและค่าขนส่งได้แปลงเป็นหนี้เงินกู้ ซึ่งการเป็นตัวแทนต้องมีหนังสือเป็นหลักฐานเช่นเดียวกัน เมื่อโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือของจำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทน จำเลยที่ ๑ หาต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ร่วมกับจำเลยที่ ๒ ไม่จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญา
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์จะกล่าวในฟ้องว่า “ฯลฯ เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๘๙ จำเลยที่ ๒ ในฐานะตัวแทนจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือกู้เงินจำนวนนั้นให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นสำคัญ ฯลฯ” อัจต้องแปลฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ ในฐานะเป็นตัวแทนจำเลยที่ ๑ ซึ่งโดยปกติจำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิด เพราะจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงตัวแทนก็ดี แต่โจทก์ก็ได้แนบสำเนาหนังสือกู้ดังกล่าวนี้มาพร้อมกับฟ้องซึ่ง ป.ม.วิ.แพ่งถือว่า เป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง หนังสือกู้นี้มีข้อความชัดเจนว่าจำเลยที่ ๒ เป็นผู้กู้ในนามของตนคนเดียว รวมความว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามสัญญากู้ดังสำเนาท้ายฟ้องนั่นเอง ตามคำให้การของจำเลยที่ ๒ ก็ไม่ได้ยกเรื่องตัวการตัวแทนขึ้นโต้แย้งประการใด เมื่อตามหลักฐานพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๒ ก็จำต้องรับผิดตามหนังสือกู้ที่ตนทำไว้ดังที่ศาลล่างทั้ง ๒ ชี้ขาดมา ข้อที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องว่าได้ซื้อขายและขนย้ายข้าวสารกัน จึงเกิดหนังสือกู้ขึ้นนั้น เป็นแต่เพียงบรรยายถึงมูลที่มาแห่งการกู้หนี้ยืมสิน กฎหมายไม่ได้ห้ามไม่ให้ซื้อขายและขนย้ายข้าวสารเป็นแต่บังคับว่าต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน คดีนี้ได้ซื้อขายและขนย้ายข้าวสารโดยมีหนังสืออนุญาตถูกต้องแล้ว คดีนี้ได้ซื้อขายและขนย้ายข้าวสารโดยมีหนังสืออนุญาตถูกต้องแล้ว หาต้องห้ามตามกฎหมายขัดขวางความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนแต่ประการใดไม่
จึงพิพากษายืน